Starting a Business

“fridaymood” แบรนด์ของอดีตพยาบาลที่ลาออกจากงานมาขายสกินแคร์ ปังจนยอดขายสูงสุดแตะหลักแสน!

Text : Yuwadi.s

     เมื่องานประจำไม่ตอบโจทย์ หลายคนจึงโบกมือลางานประจำสู่เส้นทางของการเป็นนายตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะปังเสมอไป บางคนใช้เวลาในการทำอาชีพเสริมคู่ไปกับอาชีพหลักจนมั่นใจแล้วค่อยลาออกเต็มตัว หนึ่งในนั้นคือ เตย-ชมพูนุช ศรีสวัสดิ อดีตพยาบาลที่หลงรักการดูแลผิว ทำให้เธอใช้แพสชันมาทำอาชีพเสริม เริ่มต้นด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่าย พออาชีพเสริมไปได้ดีจนสู่สีกับการเป็นพยาบาลเธอก็ตัดสินใจลาออกมาปั้นแบรนด์เต็มตัวกับแบรนด์สกินแคร์สายธรรมชาติ “fridaymood ที่อยากทำของคุณภาพดีให้ผู้บริโภคได้ใช้ ในที่สุดก็ปังจนมียอดขายสูงสุดแตะหลักแสนบาทต่อเดือน!

โบกมือลางานประจำสู่เจ้าของแบรนด์สกินแคร์

     เตยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำแบรนด์ว่าเธอเริ่มจากการเป็นพยาบาลและรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบสิ่งที่ทำอยู่ เธอจึงเริ่มหาอาชีพเสริมจนเป็นตัวแทนจำหน่าย ทำควบคู่ไปกับการทำงานประจำด้วย

     “ก่อนทำแบรนด์ เตยเป็นพยาบาลมาก่อน จนเรารู้สึกว่าไม่ได้ชอบงานประจำ เลยเริ่มมาขายออนไลน์ เป็นตัวแทนจำหน่าย เอาของแบรนด์อื่นมาขาย แต่ความจริงแล้วเราอยากทำแบรนด์ตัวเอง ด้วยความที่ทุนเราจำกัด เราเลยเริ่มจากการเป็นตัวแทนจำหน่าย ขายของคนอื่นไปก่อน ขายไปได้สักพัก พอเริ่มมีทุนเราก็เริ่มทำแบรนด์ตัวเอง”

     หลังจากเธอตัดสินใจว่าอยากทำแบรนด์สกินแคร์ของตัวเอง เธอก็ใช้ความชอบของตัวเองมาเป็นโจทย์ในตอนเริ่มต้น ตัวเธอชอบการมาส์กหน้า ทำให้เธอเริ่มต้นจากตัวมาส์ก หลังจากนั้นก็เฟ้นหาโรงงานที่ตอบโจทย์โพรดักส์ที่เธอต้องการ

     “เราเป็นคนชอบสกินแคร์ หลักๆ เราอยากทำสกินแคร์ผิวหน้า ทำมาจากความชอบ ตัวเราชอบมาส์กหน้า ชอบอะไรที่สบายๆ ผิว เวลาไปคลินิก มีทรีตเมนต์ผิว เรารู้สึกดี ชอบมากๆ เลยอยากทำมาส์กหน้าเป็นสินค้าตัวแรก เราก็ดูโรงงานที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานในการผลิต เราหาเยอะอยู่จนได้โรงงานที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ตอนเริ่มเลยเราเริ่มจากมาส์กผงสมุนไพร แต่พอทำมันเกิดปัญหาขึ้น คนรู้สึกว่ามันดูธรรมดา กลัวว่ามันจะดีหรือเปล่า ทำไปสักพักมันตัน ขายไม่ได้ ด้วยภาพลักษณ์ที่คนมองเข้ามาด้วย เราเป็นแบรนด์ออนไลน์ด้วย เลยต้องทำให้ดูดี เลยเลิกทำแล้วก็มาพัฒนาตัวใหม่ที่ดีขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น เป็นมาส์กตัวปัจจุบัน”

     สำหรับจุดเด่นของ fridaymood คือการเลือกใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพ อ่อนโยนต่อผิว เหมาะสำหรับคนแพ้ง่าย อีกทั้งยังใส่สารสกัดจัดเต็มในเปอร์เซ็นต์ที่สามารถเห็นผลได้จริง โดยตอนนี้จะมีสินค้าอยู่สองตัวคือมาส์กโคลนเย็นและคลีนเจลข้าวกล้อง

     “เราอยากทำสินค้าที่มีคุณภาพ คนจะติดภาพว่าแบรนด์ครีมออนไลน์ไม่ดี ต้องใช้แล้วไม่ดี แต่เราอยากสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ออนไลน์ใหม่ว่ามันมีคุณภาพได้นะ เราใส่สารสกัดที่มีงานวิจัยรองรับ ในเปอร์เซ็นต์ที่เห็นผลและทำงานได้จริง สินค้าเราตอนนี้จะมีมาส์กโคลนและเจลล้างหน้า ตัวมาส์กโคลนจะไม่ใส่สารที่ผลัดเซลล์ผิว บางคนเขาไม่ชอบเพราะมันใช้แล้วผลัดผิว ดันสิว เราเลยทำมาส์กที่ไม่มีสารกลุ่มนี้ เน้นเรื่องการปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ สามารถเอาไปแต้มสิวได้ เวลาที่มาส์กจะเย็นๆ เหมือนไปนอนทำทรีตเมนต์ในคลินิกเลย ส่วนคลีนเจล เรายังพัฒนาตัวแพ็คเกจจิงอยู่ ตอนแรกที่ทำเรางบจำกัด เลยทำแพ็คเกจจิ้งทดลองขายออกไปก่อน แล้วฟีดแบคดีมาก จนมันหมดสต๊อก ตอนนี้อยู่ในช่วงทำแพ็คเกจจิ้งใหม่”

ใช้สตอรี่สร้างตัวตนจนคนรู้จักแบรนด์

     ใครๆ ก็รู้จักว่าเธอคือเตย fridaymood ด้วยการที่เธอใช้กลยุทธ์ Personal branding ในการปั้นแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องแบรนด์ผ่านสตอรี่ใน Instagram จนมาถึงการเปิดช่อง TikTok ถึง 3 ช่องเพื่อเล่าเรื่องที่แตกต่างกัน

     “เราทำการตลาดเริ่มจากในไอจีก่อน ลูกค้าเหมือนชอบฟังเรื่องเล่า เราก็จะชอบลงสตอรี่ เน้นการเล่าเรื่อง ป้ายยา พอทำไปสักพักก็เริ่มสร้างตัวตนไปเรื่อยๆ ลูกค้าก็รู้จักและจำได้ พอเริ่มทำ TikTok เราก็เริ่มยิงโฆษณาบ้าง จ้างอินฟลูบ้าง ใน TikTok เรามี 3 ช่อง แต่ที่ทำหลักๆ มีอยู่ 2 ช่องคือช่องแบรนด์ เอาไว้เล่าเรื่องสินค้าอย่างเดียว เป็นข้อมูลสินค้า โปรโมชั่น แล้วก็ทำช่องส่วนตัว ไว้ลงไลฟ์สไตล์ คนจะได้รู้จักเราเหมือนทำ Personal branding คนจะรู้ว่าเรามีไลฟ์สไตล์แบบนี้ คนจะไม่เบื่อ การทำคลิปของเราจะมีความคลีนๆ เล่าเรื่องสบายๆ คนจะชอบตรงนี้ เราต้องมีจุดเด่นของเราก่อน ไม่ต้องทำตามใคร เดี๋ยวคนจะมาตามเราเองเพราะเราเป็นตัวเราแบบนี้”

      โดยปัจจุบัน ยอดขายของแบรนด์จะอยู่ที่ 5 หลักปลายๆ ถึง 6 หลักต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการที่ลูกค้าประจำกลับมาซื้อซ้ำเพราะชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้เธอยังแชร์ความยากของการทำแบรนด์ให้ฟัง

     “การที่ลูกค้าซื้อซ้ำมันดีมากสำหรับคนทำแบรนด์ ทุกวันนี้ขายได้คือลูกค้าซื้อซ้ำเยอะมากจริงๆ การทำแบรนด์มันดูเหมือนจะง่าย ตอนแรกที่เราเป็นตัวแทน มีคนทำสินค้าให้เรา เรามีหน้าที่ขาย แต่พอเราเป็นเจ้าของแบรนด์ มันยากกว่ามาก เราต้องศึกษาโพรดักส์ สารสกัด หาโรงงาน ทำแพ็คเกจจิ้ง เราทำเองทุกอย่างตั้งแต่แรกและเงินทุนเราจำกัดด้วย มันยากตรงนี้”

     เตยได้ปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญในการทำแบรนด์ให้ฟังว่าสำหรับเธอคือความจริงใจที่มีต่อลูกค้า รวมถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ

     “การทำโพรดักส์ ต้องทำโพรดักส์ที่ดี มีความจริงใจกับลูกค้า ถ้าเราทำของไม่ดี ลูกค้าใช้แล้วไม่ดี เขาก็มาซื้อครั้งเดียว แต่ถ้าเราทำของดี จริงใจกับเขา เขาก็กลับมาซื้อเราตลอดและเราจะขายได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องทำการตลาดเลย”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup