Tech Startup

ยืดอกไม่ต้องพกเงิน จีนใช้ระบบสแกนใบหน้าชำระเงินไม่เว้นแม้จะเป็นร้านค้าเล็กๆ

Text : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์
 

 

Main Idea
 
  • ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ในจีนได้พัฒนาล้ำขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ระบบดังกล่าวอำนวยความสะดวกในแง่เร็วกว่า ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการใช้วิธีสแกนลายนิ้วมือ และเป็นระบบที่ไม่ต้องพกมือถือก็ทำงานได้
 
  • ปัจจุบันมีร้านค้ากว่า 2,000 แห่งได้ติดตั้งระบบจดจำใบหน้าเพื่อชำระเงินแล้ว และลูกค้ากว่า 100 ล้านคนได้ลงทะเบียนเพื่อใช้ระบบนี้ นักวิเคราะห์ประเมิน ภายใน 2 ปี ระบบชำระเงินผ่านมือถือจะถูกแทนที่ด้วยระบบสแกนใบหน้า
 
  • อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความสะดวก ข้อเสียของเทคโนโลยีจดจำใบหน้าก็มีเช่นกัน แต่จะเป็นอะไรนั้น ลองอ่านรายละเอียดดู 
       



     ปรากฏการณ์สังคมไร้เงินสดหรือ cashless society ของจีนได้ชื่อว่าพัฒนารวดเร็วและก้าวกระโดดอย่างมาก จากประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช้บัตรเครดิต กลับกลายมาเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลกที่ผู้คนเข้าถึงการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน และใช้กันแพร่หลาย ไม่ใช่แค่ร้านค้าในห้าง กระทั่งร้านค้าหาบเร่ แผงลอยในตลาดสดหรือข้างทางยังมี QR code ให้ลูกค้าสแกนจ่าย

     การชำระค่าสินค้าและบริการผ่านมือถือว่าสะดวกแล้ว แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้พัฒนาล้ำขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย จะสังเกตว่าตามร้านค้าต่าง ๆ หรือแม้แต่ตามสถานีรถไฟใต้ดิน ลูกค้าไม่ต้องหยิบมือถือออกมาจ่ายเงิน เพียงสแกนใบหน้ากับระบบก็เป็นอันเรียบร้อย ระบบดังกล่าวอำนวยความสะดวกในแง่เร็วกว่า ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการใช้วิธีสแกนลายนิ้วมือ และเป็นระบบที่ไม่ต้องพกมือถือก็ทำงานได้

     รายงานระบุมีร้านค้ากว่า 2,000 แห่งได้ติดตั้งระบบจดจำใบหน้าเพื่อชำระเงินแล้ว และลูกค้ากว่า 100 ล้านคนได้ลงทะเบียนเพื่อใช้ระบบนี้ผ่านแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน อย่างเชนร้านสะดวกซื้อ 7-11 ก็เริ่มนำระบบนี้มาใช้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมาเป็นสาขาทางตอนใต้ของประเทศ รวมถึงในมณฑลกวางตุ้งด้วย รวมแล้วประมาณ 1,000 สาขา โดยลูกค้าสามารถชำระเงินด้วยการสแกนใบหน้าที่แท็บเล็ตที่ตั้งอยู่ ณ จุดขาย ทั้งนี้ ราว 10 เปอร์เซนต์ของลูกค้าร้าน 7-11 ในเมืองกวางโจวมีการใช้ระบบนี้

     นอกจากร้านสะดวกซื้อ บรรดาร้านอาหารขนาดเล็ก หรือตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่กระจายตามที่ต่าง ๆ ก็เริ่มติดตั้งระบบสแกนใบหน้าชำระเงินเช่นกัน ภายใต้การผลักดันของรัฐบาล ได้มีการติดตั้งซอฟต์แวร์ตามสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อเอื้อให้ประชาชนสามารถชำระค่าโดยสารด้วยการสแกนใบหน้าได้

     ระบบดังกล่าวถูกติดตั้งที่สถานีรถไฟใต้ดินในเมืองกวางโจวเมื่อเดือนกย.ที่ผ่านมานี่เอง เป็นผลให้การระบายผู้โดยสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่นแม้ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เพราะผู้โดยสารสามารถเดินผ่านประตูกั้นไปยังรถได้ทันทีเพียงแค่หันหน้ามองไปยังแท็บเล็ตที่ติดตั้งอยู่บริเวณทางเข้ารถไฟ ซึ่งในกรณีนี้ ต่อให้ไม่ได้พกพามือถือก็ยังสามารถเดินทางไปไหนมาไหนหรือซื้อสินค้าและบริการได้ตามปกติ

     ที่กรุงปักกิ่ง และนครเซี่ยงไฮ้ รวมถึงเมืองใหญ่อีกหลายเมืองก็กำลังติดตั้งระบบชำระค่าโดยสารด้วยใบหน้าที่สถานีรถไฟต่าง ๆ เช่นกัน และจะขยายระบบไปยังเมืองอื่นอย่างกว้างขวางในปีหน้า ที่ผ่านมา การชำระค่าสินค้าและบริการผ่านมือถือของประชาชนในจีนมีมูลค่าเกือบ 200 ล้านล้านหยวนหรือ 856 ล้านล้านบาทต่อปี แต่นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่าภายในระยะเวลา 2 ปี ระบบการชำระเงินผ่านมือถือจะถูกแทนที่เมื่อผู้บริโภคหันมาใช้ระบบสแกนใบหน้าแทน
 
     คาดว่าผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์รายใหญ่ 2 เจ้าได้แก่ Alipay ของอาลีบาบา กรุ๊ป และ weChat Pay ของเท็นเซนต์จะมีอิทธิพลต่อเทรนด์ระบบการชำระเงินแบบใหม่ ทั้งนี้ จำนวนผู้ลงทะเบียนใช้บริการแอพพลิเคชั่นชำระเงินผ่านมือถือของทสองบริษัทนี้รวมกันแล้วมีมากถึง 1,000 ล้านราย การเปลี่ยนมาใช้ระบบสแกนใบหน้าไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะทั้ง Alipay และ WeChat ได้เชื่อมระบบนี้กับแอพพลิเคชั่นเรียบร้อยแล้ว แค่ลูกค้าลงทะเบียน ส่งภาพใบหน้าเข้าระบบก็สามารถใช้งานได้  

     อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เทคโนโลยีจดจำใบหน้าอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคจนถึงขีดสุด แต่หลายฝ่ายมีความวิตกว่าหากรัฐบาลผลักดันให้ใช้ระบบนี้ทั้งหมดอาจจะมีปัญหาด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวและสิทธิมนุษยชน โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดการโต้แย้งในสังคมเกี่ยวกับกรณีบริษัท Megvii Technology เทคสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จดจำใบหน้าได้ทดลองติดตั้งกล้องในชั้นเรียน ซึ่งระบบสามารถจดจำใบหน้าและวิเคราะห์พฤติกรรมของนักเรียนในชั้นว่าตั้งใจเรียนหรือไม่

     ซึ่งหากระบบจดจำใบหน้าที่ว่าถูกติดตั้งในที่ทำงาน คนส่วนใหญ่เกรงว่าจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว นอกจากนั้น ภายใต้กฏหมายใหม่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวกรองที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2017 รัฐบาลจีนมีอำนาจดึงข้อมูลที่ต้องการจากทุกบริษัทได้หากรัฐบาลเชื่อว่าจะมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ เทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่พัฒนามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการจึงมีทั้งข้อดีและข้อด้อยด้วยประการฉะนี้ 
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup