Tech Startup

เผย 2 นวัตกรรมไทยสุดเจ๋งแห่งยุคโควิด “ห้องแยกผู้ป่วยถอดประกอบได้ – เครื่องวัดสัญญาณชีพระยะไกล”




     ผลกระทบจากโควิด ส่งผลให้บุคลากรทางแพทย์ต้องทำงานอย่างหนัก จึงได้มีการคิดค้นนวัตกรรมทางแพทย์ออกมามากมาย ในปีที่ผ่านมา สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้สนับสนุนนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระบาดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ภายใต้วงเงินสนับสนุนกว่า 50 ล้านบาท
 

     โดยมี 2 นวัตกรรมที่เป็นตัวอย่างความสำเร็จที่น่าชื่นชมซึ่งช่วยลดการระบาด และช่วยในการทำงานของทีมแพทย์ได้เป็นอย่างดี  ได้แก่ นวัตกรรม Smart Pulz ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของหัวใจระยะไกลส่งข้อมูลถึงมือคุณหมอด้วยระบบ IoT บนสมาร์ตโฟน และ Knock-down Airborne Infection Isolation Room หรือห้องแรงดันลบแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาการหนักแบบถอดประกอบได้
 




     นพ.ณัฐวุฒิ ตันฑเทอดธรรม หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เมดิออท ผู้คิดค้นนวัตกรรม Smart Pulz เครื่องมือวัดสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของหัวใจระยะไกล กล่าวว่า เครื่องวัดสัญญาชีพ “Smart Pulz” มีจุดเริ่มต้นจากกรณีที่คนไข้มีอาการแย่ลงในช่วงที่แพทย์หรือพยาบาลไม่ได้ตรวจวัดสัญญาณชีพ ทำให้คนไข้บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้น จึงเริ่มคิดค้นนวัตกรรมที่จะช่วยให้พยาบาลสามารถติดตามสัญญาณชีพของคนไข้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยที่ไม่ต้องนั่งเฝ้า ในช่วงแรกได้มีการใช้นวัตกรรม Smart Pulz กับผู้อยู่ในห้อง ICU ทั่วไปเท่านั้น แต่ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางบริษัทเห็นว่าสามารถนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อให้แก่แพทย์ และพยาบาลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการทำงานผ่านระบบ IOT ซึ่งจะแสดงผลการตรวจวัดทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่

     1. อุณหภูมิในร่างกาย

     2.อัตราการเต้นของหัวใจ

     3.อัตราการหายใจ

     และ 4. การเคลื่อนไหว ผ่านระบบ Central Monitor และรายการผลไปยังคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการสัมผัสผู้ป่วยแล้ว ยังช่วยให้แพทย์สามารถสังเกตและเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยได้ตลอด 24 ชั่วโมง
 




     ขณะนี้ มีการนำระบบไปให้โรงพยาบาลทดลองใช้แล้วกว่า 25 แห่ง โดยส่วนใหญ่จะใช้ในหอผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 สำหรับผลจากการใช้งานในระยะแรกนั้นพบว่าสามารถตรวจวัดได้ค่อนข้างแม่นยำ พยาบาลไม่ต้องเข้าไปสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรง และยังช่วยประหยัดชุด PPE ได้อีกด้วย แต่ปัจจุบันระบบยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการเชื่อมต่อไวไฟ และในขณะที่ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวตัวบ่อย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบได้ดียิ่งขึ้น
 

     วรเสน ลีวัฒนกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท วินด์ชิลล์ จำกัด ผู้ผลิตห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อ โควิด-19 อาการหนักแบบถอดประกอบได้ กล่าวว่า ช่วงที่ประเทศไทยเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างหนัก  ส่งผลให้โรงพยาบาลขาดแคลนห้องแยกผู้ป่วยอาการหนัก (ICU) ซึ่งมีจำนวน 5% ของผู้ป่วยทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องเร่งก่อสร้างให้ทันท่วงที โดย NIA ได้ให้การสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามมาตรฐานสากลเพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ได้ทันต่อสถานการณ์





     ดังนั้นบริษัทจึงได้ออกแบบและผลิต ห้องแยกผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนักที่ได้มาตรฐาน ANSI/ASHRAE 170 และผลิตได้อย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 1-3 เดือนเท่านั้น  โดยใช้เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง  ซึ่งเป็นการออกแบบ 3 มิติ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี Modular Design และ การผลิตแบบ Pre-Fabrication ซึ่งสามารถทำให้ผลิตได้อย่างรวดเร็ว


     ส่วนการควบคุมการติดเชื้อทางอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้โควิด-19 แพร่เชื้อโรคไปยังผู้ป่วยอื่นรวมทั้งบุคลกรทางการแพทย์  ทำโดยใช้เกณฑ์การออกแบบตามมาตรฐาน ANSI/ASHRAE Standard 170 ใช้มาตรฐานเครื่องมือแพทย์ISO 13485 รวมทั้งใช้วิศวกรออกแบบที่ได้รับรอง ASHRAE Certified Professional เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีหลักการทางวิศวกรรมที่สำคัญคือ ควบคุมแรงดันห้องให้เป็นลบ และควบคุมทิศทางการไหลของอากาศภายในห้องผู้ป่วยไม่ให้แพร่กระจายใช้การกรองผ่าน HEPA Filter ใช้การเติมอากาศใหม่ในปริมาณที่เหมาะสม รวมทั้งจัดการอากาศเสียจากผู้ป่วย ไม่ให้แพร่กระจายไปยังที่อื่น ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ติดตั้งห้องแยกผู้ป่วยอาการหนักแบบถอดประกอบได้ ไปแล้วหลายโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงเรียนแพทย์ต่างๆ  เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น
 
 


     ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA เผยว่า ในปี 2564 นี้ NIA ยังคงให้ความสำคัญและผลักดันธุรกิจนวัตกรรมทางการแพทย์ และ Startup ในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง โดยวางแผนพัฒนา “นวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID)” ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ เทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยของประชาชน ซึ่งจะร่วมมือกับ Startup นักลงทุนในสาขาต่าง ๆ นักพัฒนาด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ เพื่อลดต้นทุนในการนำเข้ายาและเครื่องมือทางการแพทย์จากต่างประเทศ พร้อมปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และยกระดับมุมมองของมาตรฐานการแพทย์ไทยสู่มาตรฐานโลก สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการและวิสาหกิจเริ่มต้นภายในย่าน พัฒนาระบบแรงจูงใจเพื่อเป็นตัวกระตุ้น ดึงดูดให้เกิดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาที่ดินรวมทั้งการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ใน 3 ด้านได้แก่
 

     1) ธุรกิจนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ (Healthcare Business) เป็นการพัฒนานวัตกรรมทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายระบบสาธารณสุขของประเทศ ทำให้ปัญหาการเข้าถึงการรักษา ความผิดพลาดในการวินิจฉัย และการขาดการติดตามสุขภาวะ
 

     2) ธุรกิจอาหารทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Novel Food & Natural product) เป็นการพัฒนาอาหารและสารสกัดธรรมชาติที่ปรุงขึ้นมาเฉพาะและมีสูตรที่แน่นอน เพื่อการบำบัดโรค/ลดความเสี่ยงเป็นโรค โดยสามารถพิสูจน์และผ่านการรับรองความปลอดภัย ที่มีผลการทดสอบทางคลินิกยืนยันประสิทธิภาพ แ
 

     3) ธุรกิจนวัตกรรมการบริการทางการแพทย์ (Service platform) เป็นการพัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลด้านการแพทย์ รวมถึงระบบบริหารจัดการสถานพยาบาล ที่จำเป็นต้องพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดด้านกำลังคน และงบประมาณด้วยผลิตภัณฑ์หรือระบบทางการแพทย์และสุขภาพ ลดความแออัดของสถานพยาบาล เพิ่มความสะดวกรวดเร็วและการเข้าถึงการให้บริการ
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup