Starting a Business

Call me, O’nya ความภูมิใจของ ​พิมพเณศร์ เอกวานิช


เพราะเชื่อว่าภูเก็ตจะยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวไปอีกนาน พิมพเณศร์ เอกวานิช จึงตั้งเป้าหมายชีวิตที่คิดอยากทำธุรกิจของตัวเองด้วยการมีโรงแรมเล็กๆ สักแห่งที่สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมความเป็นเปอรานากัน (ลูกครึ่งมลายู-จีน) เธอเริ่มต้นถักทอฝันด้วยการบินไปเรียนต่อด้าน Hospitality Management ที่สวิตเซอร์แลนด์ และตระเวนฝึกงานตามโรงแรมใหญ่ๆ ระดับ 5-6 ดาว อย่าง เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน มิลล์ลิเนีย สิงค์โปร์ และลากูนา เครือโรงแรมใหญ่ที่สุดในภูเก็ต เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาสร้างมาตรฐานให้กับโรงแรมในฝันของเธอ



เมื่อความรู้และประสบการณ์พรั่งพร้อม พิมพเณศร์ได้รับเงินสนับสนุนจากพ่อแม่มาเป็นทุนก้อนแรกสร้างโรงแรมสไตล์ชิโนโปรตุกีสเล็กๆ ขนาด 24 ห้อง ใช้ชื่อว่า O’nya (อ้นหยา) มาจากคำว่า Nyonya (ย่าหยา) ชื่อเรียกหญิงสาวชาว     เปอรานากัน เพื่อสะท้อนถึงตัวตนของแบรนด์ที่ต้องการถ่ายทอดความเป็นภูเก็ตของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับวัฒนธรรมเก่าแก่นี้ ซึ่งไม่เพียงแค่ชื่อเท่านั้น การตกแต่งภายใน ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ สี เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ และรูปแบบบริการล้วนสร้างบรรยากาศเก่าแก่ของภูเก็ตในอดีตผสมกลมกลืนกับความเป็นโมเดิร์นไว้อย่างลงตัว ซึ่งพิมพเณศร์บอกว่าเธอลงมือทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่คุยกับสถาปนิกตกแต่งจนถึงขนาดบินไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเองที่ประเทศจีน



แรกเริ่มเดิมทีนั้น สาวน้อยเจ้าของแบรนด์ O’nya บอกว่าเธอตั้งเป้าหมายไว้ว่าชาวต่างชาติจะเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของโรงแรม  แต่เมื่อเปิดให้บริการจริงกลับกลายเป็นว่ากลุ่มคนไทยก็ให้ความสนใจเข้าพักกันเยอะ โดยมีมาเรื่อยๆ ตลอดปี ขณะที่ชาวต่างชาติจะมาพักยาวในช่วงไฮซีซัน หลังเปิดให้บริการได้ 1 ปี ตัวเลขผู้เข้าพักเริ่มคงที่ทำให้เธอคิดขยายฐานไปยังลูกค้าที่มีความเฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยตั้งใจเจาะกลุ่มเวดดิ้งก่อนเป็นลำดับแรก เพราะมองว่าจะได้ลูกค้าทั้งปี และยังเป็นการสร้างชื่อเสียงโรงแรมไปในตัวด้วย หลังจากนั้นจะค่อยๆ ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอื่นๆ เพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ลูกค้าที่หลากหลาย



แม้เวลา 1 ปีจะยังพิสูจน์อะไรแน่ชัดถึงความสำเร็จในโลกธุรกิจไม่ได้ หากแต่มองในแง่ของสาวน้อยคนหนึ่งที่คิดฝันอยากมีโรงแรมเล็กๆ ของตัวเอง พิมพเณศร์บอกว่าเธอก้าวผ่านความสำเร็จมาได้แล้ว 1 ขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับฟีดแบ็คที่ดีจากลูกค้า ทำให้เธอมั่นใจว่าเส้นทางที่เลือกเดินไม่ได้เฉไฉออกนอกทางสู่เป้าหมาย ซึ่งเธอบอกว่าอนาคตข้างหน้าอยากมีโรงแรมของตัวเองอีกสักแห่ง ภายใต้คอนเซ็ปต์โรงแรมไร้รีเซฟชั่น โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมงานบริการ ทำให้การเช็คอินสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้จะเป็นอนาคตที่ฟังดูอาจไกลไปสักหน่อย แต่ก็พอเห็นเค้าลางความจริงอยู่บ้าง เพราะทุกวันนี้ O’nya เองสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยตัวเองจากระบบการทำงานที่นำข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมขึ้นไปไว้บนคราวน์ทำให้พิมพเณศร์สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งอยู่ที่โรงแรม



สาวน้อยเจ้าของโรงแรม O’nya บอกว่าความสำเร็จของเธอในวันนี้ เกิดจากแรงสนับสนุนของพ่อและแม่ ซึ่งไม่เพียงไว้ใจให้เงินก้อนแรกเธอมาเป็นทุน แต่ยังช่วยให้คำแนะนำดีๆ แก่เธอเรื่อยมานับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกฝังให้เธอปฏิบัติธรรม ซึ่งเธอบอกว่าจำเป็นสำหรับการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้บริหารที่จะต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ เพี่อให้สามารถมองปัญหาในแง่บวกและมีวิธีการจัดการในทางสร้างสรรค์ อันจะเป็นประโยชน์ในการนำพาธุรกิจก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ
               
อย่างไรก็ตาม การมองโลกในแง่ดีจะส่งผลดีได้จริงก็ต่อเมื่อมีการมองโลกตามความเป็นจริงด้วย ซึ่งพิมพเณศร์บอกว่านอกจากผู้บริหารจะต้องมีความฉลาดทางอารมณ์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจคือการปรับตัว ผู้ประกอบการต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม