Starting a Business

“Gen Z Guru” ธุรกิจของเด็กมัธยมที่ให้คำชี้แนะเรื่อง Gen Z

Text : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์
 

 

Main Idea
 
  • Gen Z คือ คนกลุ่มที่เกิดหลังปี พ.ศ.2538 อายุอยู่ในวัย 20 ปีเศษ คนกลุ่มนี้ถูกมองว่ามีกำลังซื้อสูงและมีอิทธิพลต่อการจับจ่ายของคนรุ่นพ่อแม่อีกด้วย ด้วยเหตุนี้แบรนด์ต่างๆ จึงอยากทำความรู้จักคนกลุ่มนี้ให้มากๆ 
 
  • โจนาห์ สติลแมน เด็กหนุ่มวัย 19 ปี ก็เป็นคน Gen Z จึงย่อมเข้าใจคน Gen Z ด้วยกันเป็นอย่างดี เขาจึงเปิดบริษัทที่ปรึกษา “Gen Z Guru”  เพื่อช่วยให้แบรนด์ทำความเข้าใจกลุ่ม Gen Z ที่เป็นเป้าหมายขององค์กรเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น 




     คงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทเกมหรือผู้ผลิตของเล่นเด็กที่เวลาต้องการทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก็มักว่าจ้างเด็กที่มีความชำนาญด้านนั้นๆ มาช่วยทดลองสินค้าให้ โดยยอมฟังความคิดเห็นแต่โดยดี แน่นอนว่าการใช้ผู้ทดสอบผลิตภัณฑ์ที่เป็นคนวัยเดียวกันกับกลุ่มเป้าหมายก็เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่เล็งไว้นั่นเอง

     ในโลกนี้มีเด็กและวัยรุ่นอีกมากมายที่สามารถทำเงินจากการเป็นคนวัยเดียวกับกลุ่มเป้าหมายใหญ่ที่แบรนด์หรือองค์กรให้ความสนใจ หนึ่งในนั้นคือ โจนาห์ สติลแมน เด็กหนุ่มวัย 19 ปีจากรัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา “Gen Z Guru” โดยอาศัยการเป็นคนในวัยนี้มีความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับเจเนอเรชันของตัวเองมาช่วยแบรนด์ และองค์กรต่างๆ ทำความเข้าใจกลุ่ม Gen Z ที่เป็นเป้าหมายขององค์กรเหล่านั้น

     นิยามของ Gen Z คือ คนกลุ่มที่เกิดหลังปี พ.ศ.2538 อายุอยู่ในวัย 20 ปีเศษ ส่วนใหญ่เพิ่งจบการศึกษา และคนกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นแรงงานสำคัญในอนาคต โดยข้อมูลระบุ 20 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานในปี พ.ศ.2563 จะเป็นแรงงานกลุ่ม Gen Z และคนกลุ่ม Gen Z มีบุคลิกเฉพาะตน ด้วยเหตุนี้บริษัทหรือนายจ้าง หรือกระทั่งเจ้าของสินค้าแบรนด์ต่างๆ ต้องทำความรู้จักคนกลุ่มนี้เพราะหากปฏิบัติต่อพวกเขาโดยคิดว่าคงเหมือนๆ กลุ่มมิลเลนเนียล ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นตรงกันข้าม  

     โจนาห์ สติลแมน ก่อตั้งบริษัท Gen Z Guru ร่วมกับเดวิด สติลแมน คุณพ่อของเขาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Generation หรือกลุ่มคนในวัยต่างๆ และคลุกคลีกับการเก็บข้อมูลและทำวิจัยมานานร่วม 20 ปี การต่อตั้งบริษัทนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่โจนาห์ซึ่งตอนนั้นอายุ 16 ปีกำลังศึกษาในชั้นมัธยมได้รับมอบหมายให้ทำรายงานวิจัยความหนา 50 หน้า เขาและเพื่อนเลือกทำรายงานเกี่ยวกับคนกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นวัยเดียวกับเขา  

     เมื่อผลงานสำเร็จเสร็จสิ้นและส่งมอบให้อาจารย์ไปเรียบร้อยก็ถูกนำไปเผยแพร่ในนิตยสารต่างๆ เช่น ไทม์  นิวยอร์กไทมส์ และ ฟาสต์ คัมปานี รวมถึงหลายสื่อ ด้านโจนาห์เองก็พบว่า เขาเริ่มต้องการศึกษา Gen Z อย่างเจาะลึก จึงปรึกษากับบิดาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เดวิดซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านเจเนอเรชันให้กับบริษัทต่างๆ จึงช่วยลูกชายหาทุนเพื่อทำวิจัยอีกรอบเกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะของคน Gen Z  

     ในการทำวิจัยรอบนี้ เดวิดลงมือช่วยโจนาห์ด้วย โดยร่วมกับ “สถาบันเพิ่มผลผลิตองค์กร” (Institute of Corporate Productivity) ทำงานวิจัยออกมา 3 ชิ้นด้วยกัน และอีกชิ้นเป็นการสำรวจระดับโลกเกี่ยวกับที่ทำงานของ Gen Z และเทรนด์ตลาด ในการทำวิจัยครั้งนี้มีการเก็บข้อมูลจากซีอีโอและผู้บริหารนับร้อยๆ คน รวมถึงบุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ เช่น โอปราห์ วินฟรีย์, มาร์ค คิวบัน ซีอีโอหมื่นล้าน, แอชตัน คุชเชอร์ นักแสดงฮอลลีวู้ด และ ดารา คอสโรว์ชาฮี ซีอีโออูเบอร์

     ผลงานการวิจัยออกมาในรูปหนังสือชื่อ “Gen Z @ Work : How the Next Generation is Transforming the Workplace” ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2560 ช่วงที่โจนาห์เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย และได้ฝึกงานที่บริษัท เจเนอรัล มิลส์ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเทรนด์ขนมของวัยรุ่น หนังสือที่เขาร่วมกันทำกับบิดาเมื่อวางแผงกลายเป็นหนังสือ Best Seller เล่มหนึ่ง โจนาห์ตัดสินใจยังไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และหันมาเปิดบริษัท Gen Z Guru เพื่อช่วยให้บริษัท องค์กร และแบรนด์ต่างๆ มีความเข้าใจเกี่ยวกับคน Gen Z มากขึ้น

     ธุรกิจของโจนาห์เกี่ยวข้องกับการรับทำวิจัยหัวข้อ Gen Z ศึกษาเทรนด์ Gen Z และเดินสายเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง Gen Z โจนาห์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในวิทยากรที่อายุน้อยสุดที่เชี่ยวชาญด้านนี้ แม้จะเพิ่งดำเนินธุรกิจไม่นานแต่ก็มีบริษัทและองค์กรใหญ่ให้ความไว้ใจจ้างงาน เช่น LinkIn โซเชียลเน็ตเวิร์กด้านอาชีพการงานที่ใหญ่สุดมีสมาชิกเกือบ 200 ล้านคนก็เชิญโจนาห์ไปพูด และขอคำปรึกษาเกี่ยวกับโครงการผู้บริหาร บริษัท Intuit บริษัทซอฟต์แวร์การเงินก็ปรึกษาด้านกลยุทธ์การจ้างงาน กระทั่งทีมอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล Minnesota Vikings ก็จ้างโจนาห์มาช่วยดูการตลาดว่าทำอย่างไรจึงจะพิชิตใจคนดูที่เป็นกลุ่ม Gen Z ยังไม่นับรวมลูกค้ารายอื่นอีกมากมาย เช่น ห้างสรรพสินค้า ทาร์เก็ต บริษัทสามเอ็ม บริษัทดีลอยต์ และอื่นๆ

     ในการทำงาน โจนาห์ได้รับค่าจ้างจากการเป็นวิทยากรบรรยาย 12,000-25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนโครงการวิจัยอยู่ที่โครงการละ 50,000 ดอลลาร์ฯ ขึ้นไปแล้วแต่หัวข้อ คุณพ่อของเขาอาจขัดใจเล็กน้อยที่ลูกชายไม่เรียนต่อในขั้นอุดมศึกษา แต่สำหรับโจนาห์แล้วเขาพร้อมที่จะเสี่ยง มองว่ายุคนี้เป็นยุคของการทำเงินจาก Gen Z ซึ่งเป็นคนเจเนอเรชันที่ทรงอิทธิพลมากกว่าดาราทีวีเสียอีก เพราะคนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน และ Wi-Fi พวกเขาเสพติดโซเชียลมีเดีย เจ้าของแบรนด์จะได้จากการโพสต์รัวๆ ของ Gen Z มากกว่าจากการลงโฆษณาทางทีวีด้วยซ้ำ

     บริษัทเอกชนและองค์กรหลายแห่งเริ่มศึกษา Gen Z เพื่อปรับตัวเกี่ยวกับการทำงาน แต่จำนวนมากยังไม่เฉลียวใจเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ ผลกระทบและการปะทะระหว่างเจเนอเรชันอาจเป็นเรื่องใหม่ ตอนนี้ที่เพิ่งตระหนักกันคือ Gen Z เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยังมีอิทธิพลต่อการจับจ่ายของคนรุ่นพ่อแม่อีกด้วย สำหรับโจนาห์งานต่อไปในอนาคตที่คาดว่าจะทำเงินเข้าบริษัท Gen Z Guru เห็นจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไปของอเมริกาที่จะมีขึ้นในปี พ.ศ.2563 และกลุ่ม Gen Z จะมีสิทธิในการลงคะแนนเป็นครั้งแรก เชื่อว่านักการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ไม่ควรพลาดที่จะทำคะแนนจากผู้ลงคะแนนเสียงกลุ่ม Gen Z ที่มีมากเกือบ 90 ล้านคน
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup