Starting a Business

คุยกับ ‘มิ้นท์’ I Roam Alone ในวันที่เลือกจะแบกเป้ท่องโลก เพราะเชื่อว่ามันเป็นงานได้

Text : รัชนี พันธ์รุ่งจิตติ  Photo : ปกรณ์ พลชัย
 



Main Idea

 

  • เชื่อว่าถ้าใครเป็นนักเดินทาง หรือสายท่องเที่ยว น้อยคนจะไม่รู้จักเธอ มิ้นท์-มณฑล กสานติกุล จากเพจ I Roam Alone ที่ ณ วันนี้มีคนติดตามเพจนี้ของเธอไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน

 

  • มิ้นท์ เป็นผู้หญิงที่แบกเป้ท่องโลกเพียงลำพัง และเดินทางมาแล้วครบทุกทวีปไม่ต่ำกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงหลายคนในการออกเดินทางท่องเที่ยว

 

  • ที่สำคัญ เธอยังกลายเป็น Influencer สายท่องเที่ยวอันดับแรกๆ ของไทย ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวก็เป็นงานได้!


 

     มิ้นท์-มณฑล กสานติกุล คือ Influencer สายท่องเที่ยวอันดับแรกๆ ของไทย โดยมีคนติดตามเพจ I Roam Alone ของเธอกว่า 2 ล้านคน แต่ละคลิปมีคนดูไม่ต่ำกว่าล้านคน

    ใครที่ติดตามเธอคงทราบดีว่า เธอเป็นผู้หญิงที่แบกเป้ท่องโลกเพียงลำพัง และเดินทางมาแล้วครบทุกทวีปไม่ต่ำกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มิ้นท์เริ่มแบกเป้ผจญภัยท่องโลกในขณะที่คำว่า Influencer ยังไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำไป แต่เพราะเชื่อมั่นว่าการเดินทางท่องเที่ยวเป็นงาน เธอจึงเลือกเดินเส้นทางนี้แบบบ้าบิ่นเพราะสถานที่ที่เธอเลือกไปล้วนไม่ง่ายเลย

     ผ่านมา 8 ปี เธอพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้อง เพราะในวันนี้ I Roam Alone สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือจากชื่อเสียง เธอยังทำให้เห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวเป็นงานได้จริง!
 




จุดเริ่มต้นของ I Roam Alone

     ตอนเเรียนจบปริญญาโทกลับมาจากสเปน ก็ไปสมัครงานแต่ไม่มีที่ไหนเรียก เลยบอกแม่ว่าขอทำแบบนี้ ท่องเที่ยวเขียนคอนเทนต์ถ่ายภาพ เชื่อว่ามันเป็นงานได้ ตอนนั้นมิ้นท์ก็ไม่รู้หรอกว่าทำแล้วจะเป็นงาน คือมีรายได้จริงหรือเปล่า ก็แค่ลองดูทำให้เต็มที่ ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่เริ่มทำ I Roam Alone ตอนนั้นบล็อกเกอร์คืออะไร ก็ไม่มีใครรู้จัก มิ้นท์เลยต้องฝ่าด่านความสงสัยของมนุษย์ เขาจะมองกันว่าเรียนจบมาสูงๆ ทำไมไม่ทำงาน เที่ยวไปวันๆ คุณแม่สปอยล์ลูกเหรอ แม่ลูกคู่นี้บ้าหรือเปล่า ทั้งเพื่อนแม่ อาม่า พ่อ คนรอบข้างเป็นความกดดัน

     แต่มิ้นท์ไม่เคยคิดที่จะหยุดทำ แล้วแม่ก็ไม่เคยบอกให้หยุดทำ มิ้นท์จะคุยกับแม่ตลอดเวลา แม่ก็จะถามว่ารู้ใช่ไหมว่าแกเริ่มทำเพราะอะไร มิ้นท์ว่าคำถามนี้สำคัญมาก มิ้นท์เคยไปอ่านเจอเกี่ยวกับเรื่อง Know Your Why รู้สึกว่าเออ! ใช่มันคือสิ่งนี้แหละ เพราะเราก็จะถามตัวเองตลอดเวลาที่ท้อ ที่งงๆ ว่าเอ๊ะ! เราเริ่มต้นทำเพราะอะไรๆ อย่างแรก ทำให้มันเป็นงาน  อย่างที่สอง เราอยากเปลี่ยนมุมมองบางอย่างของคนว่า ผู้หญิงคนเดียวก็เดินทางได้นะ

     แต่พอผ่านมาเข้าปีที่ 2 เริ่มมีรายได้มาจากพ็อกเกตบุ๊กและงานเขียนอื่นๆ บรรยากาศความกดดันเหล่านั้นก็เริ่มคลี่คลาย จนกระทั่ง Influencer เป็นกระแสขึ้นมา มิ้นท์เองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน อยู่ดีๆ คนรู้จักมากขึ้น จากสมัยก่อนเป็นกลุ่มนิช ก็กลายมาเป็นแมส แล้วมาตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่า Influencer คืออะไร มันเป็นงานมีรายได้ได้นะ  ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่การยอมรับในสังคม ในความเป็นสื่อ เรามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงมุมมองได้จริงๆ ส่วนเรื่องมันเป็นงาน อันนี้ไม่ต้องเถียง มันเห็นแล้วว่ามันเป็นงานได้ ก็เลยไม่เคยหยุด ยิ่งมาตอนนี้ก็หยุดไม่ได้แล้ว
 




ออกเดินทาง


     คอนเทนต์ทั้งหมดมิ้นท์จะคิดเอง เป็นพื้นที่ที่ไม่ปล่อยเพราะคอนเทนต์คือคีย์หลักของ I Roam Alone แล้วเวลาไปตัดต่อก็ต้องไปคุมเองด้วย เพราะ I Roam Alone ไม่ใช่แนวไลฟ์สไตล์ ไม่ได้แบบไปเรื่อยๆ ทั้งวัน ไม่มี Key Message ก็ไม่เป็นไร แต่มิ้นท์เป็นแนวว่ามันต้องมี Key Message อะไรบางอย่างในการสื่อออกมา เราอยากให้ลูกเพจได้อะไรจากการดูคลิปนี้ ก็เลยต้องคุมเอง เพื่อไม่ให้หลุดออกจากสิ่งที่เราอยากจะสื่อ 
 
     ช่วง EP.แรกๆ มิ้นท์ตัดต่อเองด้วยนะ แม้เดี๋ยวนี้มีน้องมาช่วยตัดแต่ถ้าทำงานไม่ทันก็ยังลงไปช่วยตัดอยู่ คือมิ้นท์เป็นคนชอบลองทำอะไรเอง เรียนรู้เอง การตัดต่อนี่ก็เกิดจากการเรียนรู้เอง หรืออย่างตอนทำเว็บไซต์ก็ทำไปร้องไห้ไปเพราะทำไม่เป็น นั่งอ่านๆ เจอปลั๊กอินแก้ๆ มิ้นท์เป็นคนไม่กลัวที่จะขอความช่วยเหลือก็จะส่งไปหาคนทำเทมเพลต เธอๆ ขอร้องช่วยแก้ให้หมดเลยได้ไหม ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเขาเลย แต่เขาก็ทำให้นะ ซึ่งการที่เราทำเองได้ทั้งหมด มันทำให้เราเข้าใจกระบวนการ เราจะรู้เลยว่าคนตัดต่อต้องการอะไร จะคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา ภาพเราถ่ายครบ มีซีนเชื่อม สิ่งที่เราอยากสื่อครบหรือยัง ฉะนั้นเวลาถ่ายมิ้นท์ต้องโฟกัสมากๆ แล้วมิ้นท์จะเป็นคนดูวิดีโอเยอะประมาณหนึ่งแต่ไม่ชอบดูเกี่ยวกับท่องเที่ยวเลย จะดูวิธีการตัดต่อ การเล่าเรื่อง เราจะเล่าเรื่องซีเรียสอย่างไรไม่ให้ดราม่า แต่ต้องเกิดการตั้งคำถาม อย่างคลิปเรื่องโสเภณีที่บังกลาเทศ มิ้นท์ว่ามันเล่ายากมากเลยจะทำอย่างไรให้คนไม่รู้สึกไม่ดีกับประเทศเขา ไม่ตัดสินศาสนาเขา ในขณะที่ก็ได้ความรู้เรื่องโสเภณีครบถ้วนด้วย 
 




ผู้หญิงคนเดียว..ก็เที่ยว (แบบลุยๆ) ได้น่ะ

     ในวันแรกมิ้นท์มีเป้าหมายคือ ทำในสิ่งที่ชอบ หารายได้ได้ อยากสร้างมุมมองใหม่ว่าผู้หญิงก็เที่ยวคนเดียวได้ ดังนั้น ถ้าเราไปสบายมันคงไม่เปลี่ยนอะไร แล้วมันเป็นการขายความขัดแย้งนะ คือความเป็นผู้หญิงมันเป็นจุดอ่อน ฉะนั้นเลยเอาจุดอ่อนมาเป็นจุดแข็ง แต่จะเป็นจุดแข็งได้ก็ต้องไปในที่ที่โหดที่สุดเพื่อให้คนรู้สึกว่า อ้าว! ผู้หญิงคนเดียวก็ไปได้นี่นา  

     ฉะนั้นทุกทริปของมิ้นท์จะเจอความสบายน้อยมาก แล้วมิ้นท์เชื่อว่า คนเราสามารถเติบโตได้ผ่านความเจ็บปวด ในสถานการณ์ที่บีบคั้นเราถึงจะเติบโต เวลาเราโดนบีบคั้นมากๆ เราจะเริ่มหาเหตุผลคุยกับตัวเอง มันต้องทำอย่างไรเพื่อให้รอด แล้วเราก็จะค้นพบพลังบางอย่าง

     มิ้นท์เคยเขียนสรุปเอาไว้ว่า เมื่อข้อแม้ชีวิตเราน้อยลง ชีวิตเราก็ง่ายขึ้น ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้น เวลาเราเดินทางบางที่น้ำดื่มไม่มีเลย บางทีนอนเต็นท์ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอะไรเลย มีเราคนเดียว พอได้กลับมาเรารู้สึกว่าชีวิตเราดีจัง เปิดก๊อกน้ำมีน้ำ เปิดไฟมีไฟ เพราะฉะนั้นเลยกลายเป็นว่าข้อแม้มันก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ชีวิตมันก็ง่ายขึ้น

     แต่ก่อนที่จะเดินทางมิ้นท์พร้อมประมาณหนึ่งนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ อยากไปก็ไปเลย  มิ้นท์เป็นคนทำการบ้านเยอะมาก อ่านแบ็กกราวนด์ด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เพื่อดูว่าเขาคิดอย่างไร แล้วเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ อะไรที่ระวัง ถ้าต้องมีไกด์ก็เช็กข้อมูลไกด์ ถ้าไม่ต้องมีไกด์ก็ไปคนเดียวคือมิ้นท์จะมีไกด์ก็ต่อเมื่อไปในที่ที่เรากังวลเรื่องภาษา อย่างบังกลาเทศก็ใช้ไกด์ท้องถิ่น แล้วเราก็พยายามขอร้องพาเข้าไปหน่อยซ่องที่ใหญ่ที่สุด แล้วไกด์ไม่คุยกับพวกข้ามเพศเลย เขาเป็นมุสลิม เขามองว่าพวกข้ามเพศคือต่ำกว่าหมู มิ้นท์ก็ต้องดิ้นๆๆๆ ขอร้องมากๆ จะสัมภาษณ์ช่วยหน่อยนะ สุดท้ายเขาก็บอกคุยน้อยๆ นะ ก็เลยได้มา

     ส่วนเรื่องที่พักก็ต้องเลือกพักที่ดีปลอดภัย อันไหนจองล่วงหน้าได้ก็จอง อันไหนต้องไปหาเอาข้างหน้าก็ไปหาเอาข้างหน้า อีกอย่างมิ้นท์ค่อนข้างเชื่อในเรื่องมนุษย์ที่ยังเป็นคนดี มิ้นท์ไม่ได้มองโลกว่ามีแต่คนเลวเต็มถนน เพราะเรารู้สึกว่าในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเขาคงไม่ได้อยากมาทำร้ายเรา เขาอาจจะมีความจำเป็นเรื่องเงิน ถ้าเขาเห็นเราใส่ของมีค่าเยอะๆ เขาอาจจะขโมยเรา ฉะนั้นมิ้นท์ก็ไม่มีของมีค่าเลยนะ มีแค่กล้องตัวเล็กๆ เท่านั้น แล้วในแง่ของความอันตรายเราก็ดูว่าเราไม่เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ที่ที่อันตรายตอนกลางคืนก็ไม่ได้ไป ที่พักที่ไม่ดีตั้งในโซนไม่โอเคเราก็ไม่ไป หรือถ้าจะออกมาเดินตอนกลางคืนเราก็ต้องถามที่พักเราว่ามันโอเคนะ ถ้าเขาบอกว่าโอเคแล้วความรู้สึกเราว่ามันได้ เราก็ออกมา คือมิ้นท์ว่ามันเป็นเรื่องของการระวังตัวที่มันค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ในประเทศที่ยากขึ้น  



 

ความเปลี่ยนแปลง

     มิ้นท์เห็นพ่อแม่เริ่มปล่อยลูกเดินทางคนเดียว เห็นว่ามีน้องๆ เขียนเข้ามาคุยว่าเริ่มเดินทางคนเดียวแล้ว มันสร้างความมั่นใจให้หนูได้อย่างไรบ้าง แล้วพ่อแม่ก็เริ่มเขียนเข้ามาปรึกษา ขณะที่มิ้นท์มองตัวเองว่า การที่เราเดินทางคนเดียว สุดท้ายมันทำให้เราได้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น มั่นใจตัวเองมากขึ้น เรารู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร รู้ว่าจะผ่านอุปสรรคอะไรหลายๆ อย่างไปได้ แล้วมันมีจุดหนึ่งแม่บอกว่าฉันตายได้แล้ว ฉันรู้แล้วว่าแกดูแลตัวเองได้ มันคือความภูมิใจ รู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จแล้วนะ เพราะก่อนหน้านี้แม่จะห่วง ฉันตายไม่ได้หรอก ฉันต้องอยู่ดูแลแกไปตลอด แกยังเป็นเด็กยังดูแลตัวเองไม่ได้  

     ในแง่การอยากให้การท่องเที่ยวเป็นงาน ตอนนี้มิ้นท์เปิดเป็นบริษัทแล้ว มีแม่เข้ามาช่วยจัดการ ทำบัญชีการเงินให้ เหตุผลที่เปิดเป็นบริษัท เพราะเราอยากให้ทุกอย่างเขาสู่ระบบบัญชี มิ้นท์จ่ายภาษีเป๊ะมาก เพราะ Positioning มิ้นท์สำคัญ คือเราไม่ใช่แค่ไปเที่ยวแต่เป็นเรื่องแนวความคิดของเราด้วย คนตามเพราะเรามีแนวความคิดแบบนี้ มองโลกแบบนี้ ฉะนั้นถ้าเรามีปัญหาเรื่องภาษี คนจะคิดว่าเราเป็นคนอย่างไร

     ส่วนคอนเทนต์มิ้นท์จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เริ่มลองหัวข้อที่ยากขึ้น จากสมัยก่อนกินเที่ยว ตอนนี้มีกินเที่ยวและมีประเด็นสังคมที่อยากจะพูดถึง โดยจะคิด Key Message ของแต่ละทริป อย่างเช่น คลิปประเทศอิรัก คนทั่วไปจะมองเป็นประเทศอันตราย ภาพที่เห็นทางอินเทอร์เน็ตทุกอย่างคือสงคราม เราอยากเปลี่ยนมัน เพราะไปอ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีมุมที่เปลี่ยนได้ ทุกที่ก็มีมุมที่สวยงามทั้งนั้น ฉะนั้นเราจะเลือกมุมที่สวยงามของที่นั่นมาเสนอ  

     แล้วมิ้นท์จะดีไซน์ทริปว่ามันต้องออกมาเป็นอย่างไรเพื่อให้คอนเทนต์เหล่านี้เล่าผ่านตัวเรา ก็เลยไปเดินสตรีทฟูดคนเดียวกลางคืน มันก็ไม่ใช่แค่อาหารแล้ว แต่จะมีคำถามขึ้นมาว่า ทำไมคนนี้เดินคนเดียวได้ ปลอดภัยหรือ ทำไมทุกคนในคลิปดูเฟรนด์ลี่ มันทำให้เกิดคำถามหลายอย่าง แต่ในขณะเดียวกันเราก็แอบพูดเรื่องสงครามเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งเหล่านั้นล่ะ

     ขณะที่ประเทศอียิปต์ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ไปเมืองขยะไปถ่ายตลาดอูฐ อย่างเมืองขยะเราอยากจะบอกว่าขยะทุกชิ้นที่เราใช้มันมีคนหนึ่งที่มือเปื้อนอยู่นะ มีคนต้องใช้ชีวิตบนขยะ หรืออย่างเรื่องบังกลาเทศนอกจากไปกินไปเที่ยวแล้ว ก็ทำเรื่องผู้หญิงขายตัวด้วย เรื่องข้ามเพศเพราะบ้านเขากฎหมายมีให้ติ๊กเรื่องข้ามเพศแล้ว แต่สังคมเขาไม่ยอมรับ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น คอนเทนต์มันก็โตขึ้นตามวัยของเราด้วย แล้วตอนนี้ก็จะพยายามทำให้มันเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลขึ้น มิ้นท์มองว่า เราต้องโตขึ้นทุกวัน เราต้องไม่หยุด เพราะเวลาหยุดมันจะเริ่มเป็นแพตเทิร์น มันเริ่มไม่สนุกแล้ว ก็จะไม่ได้ต้องเปลี่ยนใหม่รื้อๆ ต้องหาความยากมากขึ้นเรื่อยๆ
 




เมื่อการเดินทางกลายเป็นงาน

     ในปีแรกแม่จะให้เงินเดือนมิ้นท์ มิ้นท์ก็บริหารเงินเดือนตรงนี้ว่า เราจะทำอย่างไรให้มันสามารถไปเที่ยวได้ หลายคนคิดว่ามิ้นท์ขอเงินแม่เที่ยวลูกเดียวหรือเปล่า ไม่ใช่นะ มิ้นท์ก็ต้องเก็บเงินจากเงินเดือนที่แม่ให้ ฉะนั้นช่วงแรกนี่เที่ยวอย่างจนเลย นั่งรถอย่างเดียว โบกรถ เดินป่า กินอาหารในโฮสเทล บินอีโคโนมีคลาสเหนื่อย ปวดหลัง เรียกว่าประหยัดสุดๆ

     แต่พอเข้าปีที่ 2 เริ่มออกพ็อกเกตบุ๊กเล่มแรก I Roam Alone มิตรภาพระหว่างเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรีย แล้วมีงานเขียนส่งนิตยสาร ก็เริ่มมีรายได้เข้ามาสัก 40-50 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายแล้ว พอปีที่ 3 ก็มีพ็อกเกตบุ๊กอีกเล่ม I Roam Alone Trekking Through South America แล้วก็มีงานเขียนเพิ่มขึ้น

     แต่ที่เริ่มเป็นรายได้เยอะๆ ก็คือตอนที่ทำวิดีโอ จนรายได้ที่เข้ามาครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้แล้ว และประสบความสำเร็จจริงๆ มีคนรู้จักเรามากขึ้น น่าจะ 2 ปีที่ผ่านมาจากกระแส Influencer โดยรายได้หลักๆ มาจากสปอนเซอร์ หลายปีมาแล้วมิ้นท์มีสปอนเซอร์เข้ามาตลอด ซึ่งจะมีทั้งที่สปอนเซอร์เข้ามาหาเราเอง และที่มิ้นท์วิ่งหาสปอนเซอร์
อย่างทริปแรกๆ มิ้นท์อยากได้กล้องแต่ไม่มีเงินซื้อ เพราะมันแพง ก็โทรศัพท์หาแบรนด์แบรนด์หนึ่ง บอกขอสายมาร์เก็ตติ้งหน่อย เขาก็ถามว่าใคร ก็บอกว่ามีโปรเจกต์มานำเสนอแล้วอยากขอแลกด้วยการยืมกล้อง เขาก็เหมือนงง มันมาจากไหนเป็นใครไม่รู้จัก แล้วเราก็ทำ Proposal ส่งอีเมล เข้าไปพรีเซนต์จะไปที่นี่ๆ แล้วจะเห็นกล้องอย่างไรบ้าง แล้วเขาก็ให้กล้องกับเลนส์มา ตอนนั้นเพิ่งเปิดเพจคนไลค์ยังไม่ถึงหมื่นเลย แล้วขอ 2 สปอนเซอร์ด้วย

     แต่ตอนนี้ก็ง่ายขึ้น แต่ถ้าเป็นโปรเจกต์ที่อยากทำก็จะวิ่งขอสปอนเซอร์เอง เช่น โปรเจกต์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้ซัมซุงมาเป็นสปอนเซอร์ หรือปีที่แล้วทำโปรเจกต์พาคนตาบอดไปเที่ยว เราอยากให้เขาเปลี่ยนมุมก็ไปเที่ยวแบบไปกระโดดบันจี้จัมพ์ ดำน้ำสกูบ้าไดร์ มิ้นท์เป็นคนทำอะไรอย่างนี้ มิ้นท์มีโปรเจกต์เสนอ ขอคุยได้ไหมค่ะ รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ได้ลองถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ก็ดี ไม่เห็นมีอะไรจะเสียเลยนี่นา

     อีกอย่างที่สำคัญคือเหมือนเราต้องโอเคกับความผิดหวัง มิ้นท์ผิดหวังบ่อยมาก เช่น เคยคิดจะจัดอีเวนต์ให้ตัวเอง วิ่งหาสปอนเซอร์ทีแรกว่าจะได้ แต่สุดท้ายไม่ได้เลย งานก็ล่ม ล่มก็ล่มไม่เป็นไร แม่เลี้ยงมาให้โอเคกับความรู้สึกผิดหวัง เหมือนผิดหวังไม่เป็นไรเราทำเต็มที่แล้ว ไม่เครียด อย่างเรียนจบไปสมัครงานเขาไม่รับ ไม่รับก็ไม่รับ ก็ไม่รู้สึกกลัวผิดหวัง มิ้นท์ทำเต็มที่แล้ว  หลายคนอาจจะกลัวกับการผิดหวังเลยไม่กล้าขอ ไม่กล้าเริ่ม ไม่กล้าบอกว่าตัวเองอยากได้อะไร แต่ถ้าเราไม่ทำ ร้อยเปอร์เซ็นต์คือไม่ได้ แต่ถ้าเราลุยมันก็ห้าสิบห้าสิบอาจจะได้หรือไม่ได้  

     ส่วนรายได้จากยูทูบถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับรายได้จากสปอนเซอร์แล้วน้อยมากเพราะเราโตมาขนาดนี้แล้ว แต่รายได้จากยูทูบก็เยอะสำหรับคนที่ทำใหม่ๆ แล้วมียอดวิวถึงล้าน ก็อยู่ได้สบายๆ    





ความฝัน

     อยากทำคอนเทนต์พาลูกเที่ยว อันนี้เป็นความฝันที่ยังไม่ได้ทำ เพราะยังไม่มีลูก แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวมิ้นท์ที่ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่นยังไม่มี เพราะเป็นคนไม่ค่อยรอ พอเรารู้สึกว่าอยากทำ ก็จะดิ้นๆ หาทางหาวิธีทางทำมันจนได้ อย่างก่อนหน้านี้อยากพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวก็ได้ทำแล้ว 3 ปี เข้าไปช่วยวางเส้นทาง พาคนเข้าที่แม่ตื่น จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ดีๆ มีอาจารย์ติดต่อมา มิ้นท์มาดูพื้นที่หน่อยได้ไหม เขายังทำฝิ่นอยู่เลย เอาผ้ามาขายได้ไหม ก็เลยเข้าไปดู ดูพื้นที่ลองเดินป่าดูไหม ก็เลยลองทำเส้นทางเดินป่าขึ้น โดยทำกับชาวบ้าน เดินๆ เป็น 10 รอบจนเส้นทางนี้โอเคแล้ว แล้วก็เริ่มเปิดท่องเที่ยวมา 2 ปีแล้ว ปีแรกเดินคนเดียวหมด ปีที่ 2 นำกลุ่มเอาคนดึงเข้า มาปีนี้ก็เริ่มปล่อยบ้าง ก็ค่อนข้างเข้าใจการเติบโต เราอยากให้โตช้าๆ แล้วยั่งยืน เราก็ดูว่าปีนี้จะเอาฝรั่งเข้าแล้วจะทำอย่างไร แต่มิ้นท์ไม่ได้มองว่าเป็นการช่วยชุมชน เป็นการแลกเปลี่ยนกันเฉยๆ เขาก็มีของดีของเขา เรามีมีเดีย เราก็เอามีเดียที่มีไปจับ
 

กับคำว่า Influencer  

     สำหรับตัวมิ้นท์ทำไมมาถึงจุดนี้ได้ หลายครั้งเหมือนมันมาถูกที่ถูกเวลา ช่วงที่มิ้นท์เริ่มทำมันยังไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้ เลยมีพื้นที่ให้เราปักธง จนวันหนึ่งทุกอย่างมาครบบรรจบกันมันก็เลยเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นตอนนี้ก็มีทั้งความยากและความง่าย ความง่ายคือเขารู้ว่ามันเป็นงานได้แล้ว พ่อแม่เริ่มยอมรับ สังคมยอมรับ แต่ก็ยากขึ้นในการหาพื้นที่ให้ตัวเอง

     แต่ถ้าอยากทำก็ต้องเริ่มจากว่าเราต้องการทำมันเพราะอะไร ทำเพราะเงินก็สำคัญ แต่มันต้องมีเหตุผลอย่างอื่นที่ใหญ่กว่านั้นด้วย เพราะถ้าทำเพื่อเงินพอทำไปแล้วถ้ายังไม่ได้เงินมันก็จะเลิกได้ง่ายๆ อย่างมิ้นท์ทำเพราะต้องการให้การท่องเที่ยวคนเดียวมันถูกชู้ตไปไกล ให้คนเปลี่ยนภาพว่าผู้หญิงก็เที่ยวคนเดียวได้

     ยิ่งตอนนี้ตลาดมันใหญ่ Influencer เกิดขึ้นทุกวินาที การที่จะไปถึงตรงนั้นไม่ใช่ง่าย เพราะฉะนั้นเหตุผลต้องสำคัญ ถ้าเรารู้เหตุผลจะเป็นแรงผลักทำให้เราไปต่อได้เรื่อยๆ แล้วอดทนต่อความลำบาก หลังจากนั้นก็ต้องมาดูว่าเราอยากทำอะไร อะไรคือข้อเด่นข้อด้อยของเรา อย่างมิ้นท์จุดเด่นคือ ความขัดแย้ง คือเราเป็นผู้หญิงไม่ได้บึกบึนมาก แต่เราไปในประเทศในพื้นที่ที่ลำบากที่สุด แล้วมิ้นท์ขายความขัดแย้งนั่น และนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมมิ้นท์ถึงไม่ไปที่ที่สบายเลย
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup