Starting a Business

ส่องไอเดียทำนม Plant-based จากถั่วลันเตาสีทอง เจ้าแรกของไทย! มีโปรตีนสูง แพ้นมวัว แพ้แป้ง ก็ดื่มได้

 

Text : จีราวัฒน์ คงแก้ว

     “richie pea milk” (ริชชี่พีมิลค์) คือแบรนด์นมจากพืช (Plant-based Milk) น้องใหม่ ที่ฉีกตัวเองจากตลาด Plant-based มาทำนมจากถั่วลันเตาสีทอง (Pea Protein) ประกาศความเป็นเจ้าแรกในไทย โดยชูจุดขายให้โปรตีนสูง เป็นมิตรกับคนขี้แพ้ และยังรักษ์โลกกว่าพืชโปรตีนชนิดอื่นด้วย  ไอเดียสองผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจทั้งธุรกิจและสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้า 2 ปี นำแบรนด์ Plant-based ไทย บุกตลาดตะวันออกกลาง

นักเรียนอังกฤษ เริ่มต้นธุรกิจนมจากถั่วลันเตาสีทอง

     richie pea milk คือแบรนด์จากความตั้งใจและมุ่งมั่นของผู้ประกอบการรุ่นใหม่วัยเพียง 20 ต้นๆ ภา-ศุภาวีร์ กีรติเรืองฤทธิ์” และ “ซาย-ดนิตา ฤทธาสวัสดิ์”  ผู้ร่วมก่อตั้ง (co-founder) richie pea milk โดยศุภาวีร์ เรียนจบเศรษฐศาสตร์ จาก University of Surrey ประเทศอังกฤษ ส่วนดนิตา คว้าปริญญาด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) มาจาก University of Nottingham ที่ประเทศเดียวกัน ทั้งสองคนเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่อังกฤษ ก่อนกลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับโควิด-19 พอดิบพอดี การได้พูดคุยกันทำให้เห็นอะไรหลายอย่างที่ตรงกัน โดยเฉพาะความฝันที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นวิถีผู้ประกอบการ Plant-based Milk  ของคนทั้งคู่

     “โดยปกติเราสองคนจะดื่มนม Plant-based กันอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่านมที่ผลิตจากพืชที่มีอยู่ในตลาดนั้นยังไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ เนื่องจากส่วนใหญ่ยังให้โปรตีนน้อย และรู้สึกว่ารสชาติของนม Plant-based ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร  เลยคิดอยากทำนม Plant-based เป็นธุรกิจร่วมกันดู” ศุภาวีร์ บอกเล่าจุดเริ่มต้น

นมน้องใหม่ ให้โปรตีนสูง รักษ์โลก เป็นมิตรกับคนขี้แพ้

     ในปัจจุบันมีพืชที่นำมาผลิตเป็นนม Plant-based อยู่หลายชนิด แต่ที่ทั้งสองคนให้ความสนใจคือ Pea Protein หรือโปรตีนจากถั่วลันเตา ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนรักสุขภาพและสาวกวีแกน เนื่องจากให้โปรตีนสูง แถมยังรักษ์โลกมากกว่าพืชชนิดอื่นด้วย

     “ตอนนั้นคิดกันว่าเราจะทำอะไรดี พอดีมีเพื่อนแนะนำว่า มันมี Pea milk (นมจากถั่วลันเตาสีทอง) ด้วยนะ ตอนแรกก็เอะใจว่าคืออะไร จึงลองไปค้นคว้าดูก็พบว่า Pea milk มีข้อดีเยอะมาก มันดีต่อสุขภาพและดีต่อโลกเราด้วย เนื่องจากการปลูกถั่วลันเตานั้นยั่งยืน (Sustainable) มากๆ ทั้งในเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และการใช้น้ำในกระบวนการปลูกที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น เช่น อัลมอนด์ เป็นต้น นอกจากนี้ ถั่วลันเตายังเป็นพืชที่ไม่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม (Non – GMO) ขณะที่คนแพ้นมวัว แพ้ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกแข็ง หรือแพ้กลูเตน ก็สามารถกินได้ ที่สำคัญยังเป็นพืชที่ให้โปรตีนสูงอีกด้วย”

     หรือจะเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น นมจากถั่วลันเตาสีทอง ให้โปรตีนมากกว่าอัลมอนด์ถึง 6 เท่า น้ำตาลน้อยกว่านมวัว 4 เท่า ไขมันอิ่มตัวน้อยกว่านมวัวถึง 3 เท่า และยังมีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่านมข้าวโอ๊ตถึง 30 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

     หลังจากได้พระเอกที่ชื่อ “ถั่วลันเตาสีทอง” พวกเขาก็นำมาพัฒนาต่อยอดเป็นน้ำนม โดยนำเข้า Pea Protein มาจากประเทศแคนนาดา (Canandian pea protein) แล้วนำมาพัฒนาสูตร ปรับปรุงรสชาติ กระทั่งเลือกเครื่องจักรที่เหมาะสมในกระบวนการผลิต จนได้นมจากพืชที่ตอบโจทย์ทั้ง สุขภาพ (healthy) ความยั่งยืน (sustainable) และความอร่อย (freaking delicious) ตามจุดยืนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ richie pea milk

     โดยเริ่มต้นพัฒนาออกมาเป็น 2 สูตร คือ รสออริจินอล ที่ใช้น้ำตาลมะพร้าวให้ความหวานแทนน้ำตาล และ รสจืด ที่ไม่ใส่น้ำตาล สำหรับคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ  ซึ่ง richie pea milk เป็นนมที่ดื่มง่าย รสชาติอร่อย เป็นวีแกน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมของนมวัว ไม่มีแลคโตส ไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองและถั่วเปลือกแข็ง ไม่มีกลูเตน ไม่มีคอลเลสเตอรอล ไม่ใส่น้ำมัน ทั้งยังให้โปรตีนสูง หรือประมาณ 7 กรัมต่อขวด เลยทีเดียว

นม Plant-based ที่ใครๆ ก็ดื่มได้

     แม้จะเป็นนมจากพืช และใช้เวลาวิจัยพัฒนาอยู่กว่า 1 ปี แต่ richie pea milk ก็ยังมีจุดยืนชัดเจนที่จะไม่ตั้งราคาให้สูงเกินเอื้อม โดยปัจจุบันราคาขายอยู่ที่เพียงขวดละ 39 บาทเท่านั้น

     “นี่เป็นความตั้งใจแรกเลย คือผลิตภัณฑ์ที่เราทำต้องมีประโยชน์แต่ต้องเข้าถึงง่ายด้วย เพราะเราไม่อยากให้แค่กลุ่มคนกินวีแกนที่มีเงินดื่มได้เท่านั้น แต่อยากให้ทุกคนสามารถบริโภคแบรนด์ของเราได้ เลยพยายามทำราคาให้เข้าถึงได้มากที่สุด ปกติเขาจะบอกกันว่า ทำเครื่องดื่มแล้วรวย แต่ของเรากำไรน้อยมาก เพราะอยากทำราคาให้ถูกด้วยแต่ก็ไม่อยากทำของไม่ดีเช่นกัน คุณภาพจึงต้องได้ด้วย มาร์จิ้นเราเลยน้อย” พวกเธอยอมรับโจทย์ยากตั้งแต่เริ่ม

     สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ เน้นช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม และติ๊กตอก (@richiepeamilk)   

     “สมัยก่อนการตลาดจะเน้นพวก 4P ยุคต่อมาก็จะเป็น SEO อะไรอย่างนี้ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว ยุคนี้ต้องโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ เราจึงเน้นที่จะให้ความสำคัญกับการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียมาก รวมถึงการใช้ Influencer (ผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียล) ก็จะใช้เป็นคลัสเตอร์มาร์เก็ตติ้ง (Cluster Marketing) คือจะจ้าง Influencer ที่เป็นเครือข่ายเพื่อนเดียวกัน เพราะว่าผู้ที่ติดตาม Influencer คนนั้นจะได้เห็นว่า ทุกคนพูดถึงแบรนด์เรา ทั้งที่มันอาจเป็นแค่ในกลุ่มนั้นอะไรอย่างนี้ เป็นต้น ขณะที่ Influencer ที่เราเลือกจะต้องตรงกับแวลูของแบรนด์เราด้วย ซึ่ง richie จะเน้นใน 3 ด้าน นั่นคือ ความเท่าเทียมกัน (equality) , ความยั่งยืน (sustainability)  และความซื่อสัตย์ (honesty)”

     การทำตลาดยุคเริ่มต้น เน้นเจาะไปยังเครือข่ายของชาววีแกน ผ่าน Influencer ที่เป็นวีแกน ก่อนขยับขยายไปยังกลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มอื่นๆ ต่อไป โดยที่หัวใจสำคัญคือ การทำให้ลูกค้ารู้สึกชื่นชอบ (appreciate) และรู้สึกดีกับแบรนด์ richie ให้มากที่สุดนั่นเอง

ฝันไกล 2 ปี โบยบินสู่ตะวันออกกลาง

     แม้จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งคลอดสู่ตลาดสดๆ ร้อนๆ ในปีนี้ แต่เมื่อถามถึงเป้าหมายในการขับเคลื่อนแบรนด์ พวกเขาบอกว่า อยากให้ทุกคนหันมาดื่มนม Plant-based  กันมากขึ้น ไม่ใช่แค่กลุ่มที่เป็นวีแกน หรือสาวกผลิตภัณฑ์ Plant-based เท่านั้น และอยากจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของนมถั่วลันเตาให้เป็นเหมือนกับน้ำเต้าหู้ ที่คนไทยกินจนคุ้นชิน และในอนาคต ก็อยากส่งออกไปต่างประเทศ โดยเริ่มที่ตะวันออกกลาง อีกตลาดที่น่าสนใจของ Plant-based Milk

     “ที่สนใจตลาดนี้ เพราะว่าเขาไม่ดื่มนมวัวกันอยู่แล้ว ดื่มก็น้อยมาก ฉะนั้นนมของเรามันตอบโจทย์ ซึ่งหากจดเครื่องหมายฮาลาลได้ ก็มองว่าเราน่าจะตอบโจทย์ประเทศเหล่านี้ได้เช่นกัน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถส่งออกได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า” พวกเขาบอกความมุ่งมั่น

     ย้อนกลับมามองถึงตลาด Plant-based ในประเทศไทย ผู้ร่วมก่อตั้ง richie pea milk บอกเราว่า เป็นตลาดที่กำลังมาแรงมาก ดูได้จากการมีผลิตภัณฑ์ Plant-based เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เนื้อจากพืช อาหารจากพืช หรือแม้แต่นมจากพืช อย่างไรก็ตามมองว่า ธุรกิจนี้ยังไม่อิ่มตัวง่ายๆ และยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกเยอะมาก

     “จริงๆ โควิด ทำร้ายหลายธุรกิจมาก แต่กลายเป็นว่าตลาด Plant-based กลับเติบโตขึ้น เนื่องจากว่าคนหันมารักตัวเองมากขึ้น ดูแลสุขภาพ และอาหารการกินกันมากขึ้น  แม้จะโตแต่มันยังไม่อิ่มตัว เพราะยังมีธุรกิจผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ จึงยังเป็นโอกาสของตลาดนี้ สำหรับ richie เองเราจะยังเน้นฟังฟีดแบ็กจากลูกค้า เนื่องจากยังเป็นแบรนด์เล็กๆ อยู่ จึงสามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ไวกว่าบริษัทขนาดใหญ่ และมั่นใจว่าเรามีสินค้าที่ดี คุณภาพเราดี ราคาได้ ลูกค้าน่าจะชอบ และเราก็น่าจะอยู่ได้ในตลาดนี้”

     ก่อนปิดบทสนทนา ผู้ประกอบการน้องใหม่ ได้บอกเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ชักนำพวกเธอให้ก้าวมาเป็นผู้ประกอบการว่า 

     “มีคำพูดหนึ่งของ อดัม คู  (Adam Khoo) ผู้ประกอบการและนักการศึกษาจากสิงคโปร์  ที่พวกเราชอบมากๆ เขาบอกว่า ถ้าคุณทำงานให้คนอื่น คุณก็แค่ทำให้คนอื่นรวย แต่ถ้าคุณทำงานให้ตัวคุณเอง นั่นคือคุณกำลังสร้างฝันของคุณให้เป็นจริงอยู่ ซึ่งทั้งภาและซายต่างเห็นด้วยกับคำพูดนี้ เราจึงเลือกมาเป็นผู้ประกอบการ”

     richie pea milk คือหนึ่งในแบรนด์ที่จะร่วมงาน PLANT BASED Festival 2022 มหกรรมอาหารแห่งอนาคต ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 9-10 กันยายนนี้ ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5 ใครอยากรู้จักนมจากถั่วลันเตาสีทองและโลกของ Plant-based ให้มากขึ้นก็ไปพบกับพวกเขาได้ สนใจดูรายละเอียดงานได้ที่ https://www.smethailandclub.com/plant-basedfrestival2022/

     FB : richiepeamilk
     IG : richiepeamilk
     Tiktok : richiepeamilk

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup