Tech Startup

จากแล็บในบ้านสู่นวัตกรรมเจลห้ามเลือด 12 วินาที

Text : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์
 


 
Main Idea
 
  • โจ แลนโดลินา เริ่มต้นทำธุรกิจขณะเป็นนักศึกษาโดยเขาก่อตั้งบริษัท Suneris  เพื่อผลิตเจลห้ามเลือดภายใต้แบรนด์ VETIGEL โดยเจลที่ว่าใช้กับสัตว์สามารถทำให้เลือดหยุดภายใน 12 วินาที และทำให้แผลหายในไม่กี่นาที
 
  • ในวันนี้เขาเป็นประธานและซีอีโอธุรกิจเวชภัณฑ์ในวัยเพียง 26 ปี นับความสำเร็จซึ่งก้าวไปไกลเมื่อเทียบกับคนหนุ่มวัยเดียวกันหลายคน ลองไปดูเส้นทางธุรกิจนวัตกรรมเจลห้ามเลือด 12 วินาทีนี้กัน 
 



     คนจำนวนมากกว่าจะเริ่มธุรกิจเป็นของตัวเองได้ ส่วนหนึ่งมาจากยังค้นหาตัวเองไม่เจอว่าชอบหรือสนใจอะไร ถ้าใครรู้เร็วก็ถือว่าโชคดีไป อย่าง โจ แลนโดลินา หนุ่มอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน วัย 26 ปี ที่เติบโตในอัลสเตอร์ เคาน์ตี นิวยอร์ก


     เขาสนใจศาสตร์เคมีมาตั้งแต่เด็ก เรียนรู้เกี่ยวกับเคมีจากคุณปู่ที่เป็นเจ้าของไร่องุ่นและธุรกิจไวน์ ช่วงมัธยมปลาย โจได้ใช้ห้องแล็บของคุณปู่ทดลองสิ่งต่างๆ จนสามารถคิดค้นเจลห้ามเลือดเป็นผลสำเร็จ เป็นเจลเวอร์ชันแรกๆ ที่ได้ทดลองทำขึ้นมาและใช้ได้ผลดี


     กระทั่งปี พ.ศ.2553 โจเข้าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่สถาบันโพลีเทคนิคแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสาขาวิศวกรรมชีวเวช (Biomedical Engineering) ทางมหาวิทยาลัยมีการประกวดแผนธุรกิจที่มีทั้งนักศึกษาปริญญาโท และอาจารย์มหาวิทยาลัยส่งผลงานเข้าประกวด มีเพียงโจและเพื่อนที่เป็นผู้เข้าประกวดที่ยังเรียนระดับปริญญาตรี ซึ่งโจก็ส่งเจลห้ามเลือดเข้าไปแข่ง ผลคือได้รับรางวัลรองชนะเลิศ


     โจกับเพื่อน ไอแซค มิลเลอร์ จึงจดทะเบียนตั้งบริษัท Suneris ขึ้นมาเพื่อผลิตเจลห้ามเลือดภายใต้แบรนด์ VETIGEL เจลที่ว่าใช้กับสัตว์สามารถทำให้เลือดหยุดภายใน 12 วินาที และทำให้แผลหายในไม่กี่นาที โดยใช้โครงสร้างโพลิเมอร์ (สารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และมีมวลโมเลกุลมากประกอบกัน) ของพืช ในที่นี้คือ สาหร่ายทะเลเพื่อทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวหนัง พอเจลสัมผัสบาดแผลจะเปลี่ยนเป็นโครงสร้างคล้ายตาข่ายคลุมและสมานแผลอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น VETIGEL ยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิต Fibrin อันเป็นสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผลอีกด้วย


     อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีการทดลองในคน VETIGEL จึงผลิตมาเพื่อใช้กับสัตว์เท่านั้น ครั้นได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA ให้สามารถใช้กับสัตว์ได้ โจก็เริ่มผลิต VETIGEL จำหน่ายหลังเรียนจบ คือปี พ.ศ.2558 ในช่วงแรกใช้วิธี Pre-Order จึงค่อยผลิต ลูกค้าเป็นคลินิกรักษาสัตว์ สินค้าชุดแรกบรรจุในหลอดฉีดยาขนาด 5 มิลลิลิตร และ 1 กล่องมี 5 หลอด จำหน่ายในราคา 150 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,600 บาทต่อกล่อง  


     ปีเดียวกับที่เริ่มจำหน่าย VETIGEL ก็มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Suneris เป็น Cresilon Inc. ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก 2 ภาษา ได้แก่ Crers ในภาษาละติน หมายถึง เติบโต และ Alon ภาษาฮิบรู แปลว่า รากต้นโอ๊ก การใช้ชื่อนี้เพื่อเตือนใจว่าผลิตภัณฑ์บริษัทมีที่มาจากธรรมชาติ และใช้รักษาแผลให้หายอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน


     จากบริษัทที่ก่อตั้งโดยนักศึกษามหาวิทยาลัย ปัจจุบัน Suneris หรือ Cresilon ได้ขยายธุรกิจ มีพนักงานกว่า 30 คน และมีโรงงานผลิตเล็กๆ ตั้งอยู่ในย่านซันเซ็ตปาร์ค นิวยอร์ก บนพื้นที่ 25,000 ตารางฟุต ผลิตภัณฑ์ VETIGEL เจาะตลาดสหรัฐฯ หลังจากนั้นได้รุกไปยังยุโรปและเอเชียเป็นลำดับถัดไป โดยในยุโรป Cresilon ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ VetPlus ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์ในอังกฤษ

   
     อย่างไรก็ตาม VETIGEL ยังคงอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา เพื่อทดลองในมนุษย์ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก็จะมีการผลิตเพื่อใช้กับทหารและในกองทัพ รวมถึงหน่วยกู้ภัยต่างๆ ไปจนถึงห้องผ่าตัดในโรงพยาบาล ซึ่งในกรณีนี้นอกจากใช้กับแผลเปิดบนผิวหนัง ยังสามารถใช้เพื่อเยียวยาแผลในอวัยวะภายใน เช่น ม้าม ตับ ไต โดยผ่านการส่องกล้องอีกด้วย และท้ายที่สุดมีการคาดหวังจะทำให้เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ใช้กันตามครัวเรือนทั่วไป โดยสามารถใช้แทนผ้ากอซ หรือพลาสเตอร์ปิดแผลได้


     ทั้งนี้ เทคโนโลยีห้ามเลือดที่ใช้ในวงการแพทย์นั้นมีหลากหลายแบบ รวมถึงแบบฉีดยาเข้าเส้นเลือดแบรนด์ LeGoo ที่ทำให้เลือดแข็งตัวปิดปากแผลใน 10-15 นาที และยังมีผลิตภัณฑ์ชื่อ Floseal ผลิตโดยบริษัท แบ็กซ์เตอร์ เฮลธ์แคร์ที่ใช้แพร่หลายในห้องผ่าตัดเพื่อหยุดการไหลของเลือดปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม VETIGEL ของโจถือเป็นยาห้ามเลือดรุ่นบุกเบิกรายแรกๆ ที่มาในรูปเจล 


     แม้จะเข้าสู่ตลาดก่อน แต่บริษัทของโจก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งในวงการมากมาย เช่น บริษัทแบ็กซ์เตอร์ เฮลธ์แคร์ และบริษัท ซี-เมดิแคร์  อย่างไรก็ตามแม้ว่า VETIGEL จะเติบโตด้วยดี แต่ตลาดของเขาค่อนข้างจำกัด เนื่องจากได้รับอนุมัติจาก FDA ให้ใช้กับสัตว์เท่านั้น แต่กระนั้นโจซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมชีวเวช พร้อมทีมงานของเขายังเดินหน้าศึกษาและวิจัยต่อไป อาจต้องใช้เวลาบ้าง แต่เชื่อว่าหากบริษัทของเขาสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในมนุษย์ได้ ถึงตอนนั้นธุรกิจของเขาจะขยายกว้างกว่านี้มาก ที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว จากนักศึกษาที่ก่อตั้งบริษัทในหอพักมาสู่การเป็นประธานและซีอีโอธุรกิจเวชภัณฑ์ในวัยเพียง 26 ปี โจ แลนโดลินา ก้าวไปไกลเมื่อเทียบกับคนหนุ่มวัยเดียวกันหลายคน
 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup