ว่าด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุของบ้านเรา หนึ่งในสินค้าขายดีตลอดกาลก็คงหนีไม่พ้นสินค้าช่วยคลายร้อน หรือให้ความเย็นต่างๆ ซึ่งในแต่ละเซกเมนต์ก็มีเจ้าตลาดอยู่หลายแบรนด์ด้วยกันทำรายได้ปีๆ หนึ่งเป็นพันล้านบาท ลองไปส่องเคล็ดลับมัดใจผู้บริโภคกันของแต่ละแบรนด์กัน
แป้งเย็นตรางู แป้งเย็นเจ้าแรกของโลก
อายุธุรกิจ 130 ปี
ก่อตั้งปี 2435
กลยุทธ์ธุรกิจ
- หาโอกาสจาก Pain Point
- รักษามาตรฐานสินค้า
- ต่อยอดแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
รายได้ : ในปี 2563 กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู (BD Group) มีรายได้รวมทั้งหมด 1,114 ล้านบาท
- จุดเริ่มต้นกำเนิดขึ้นมาจากห้างขายยาของหมอฝรั่งที่เข้ามาทำธุรกิจอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี 2435
- ต่อมาจึงขายกิจการให้กับหมอชาวไทยเชื้อสายจีนที่ชื่อว่า “นายล้วน ว่องวานิช” ในปี 2471 ทำธุรกิจเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
- ปี 2490 ได้คิดค้นสูตรสินค้าของตัวเองขึ้นมา ภายใต้ชื่อ “แป้งเย็นตรางู” เพื่อช่วยแก้ผดผืนคัน นอกจากเป็นแบรนด์แป้งเย็นแบรนด์แรกของไทยแล้ว ยังเป็นแป้งเย็นยี่ห้อแรกของโลกด้วย
- โดยเป็นแป้งเย็นเพียงแบรนด์เดียวในท้องตลาดที่ยังคงเลือกใช้แพ็กเกจจิ้งเป็นกระป๋องเหล็ก จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ไปแล้ว เนื่องจากสามารถเก็บกักความเย็นได้ยาวนานกว่าถึง 5 ปีทีเดียว
- ปัจจุบันกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อความเย็นและอื่นๆ ออกมามากมาย มีผลิตภัณฑ์รวมทั้งสิ้น 25 แบรนด์ 20 ประเภทสินค้า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smethailandclub.com/entrepreneur/4775.html
ฮอลล์ ลูกอมสูตรเย็นเบอร์ 1 ของตลาด
อายุธุรกิจ 129 ปี
ก่อตั้งปี 2436
กลยุทธ์ธุรกิจ
- ขยายโอกาสธุรกิจจากความต้องการของลูกค้า
- Collab ธุรกิจกับแบรนด์ดังเพื่อสร้างโอกาสธุรกิจ
- สร้างไอคอนแบรนด์ เพื่อให้เป็นที่จดจำ
รายได้ : ในปี 2559 ตลาดลูกอมไทยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 8,200 ล้านบาท เฉพาะลูกอมฮอลล์ครองตลาดเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 24 เปอร์เซ็นต์ และปี 2563 ครองแชมป์ตลาดอยู่ที่ 18.8 เปอร์เซ็นต์ โดยมีรายได้รวมของบริษัทปี 2563 อยู่ที่ 5,149 ล้านบาท
- ในปี 2436 บริษัท Hall Brothers ก่อตั้งขึ้นในประเทศอังกฤษ โดยเป็นบริษัทผลิตแยมผลไม้ ต่อมาจึงค่อยได้เริ่มขยายธุรกิจมาผลิตลูกอม เช่น รสคาราเมล, รสช็อกโกแลต
- กระทั่งปี 2470 ได้ค้นพบสรรพคุณของเมนทอลและยูคาลิปตัส เพื่อช่วยบรรเทาอาการไอและเจ็บคอได้ จึงได้นำมาผลิตเป็นลูกอมขายครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า HALLS ต่อมาได้เปลี่ยนมือขายกิจการให้กับบริษัทต่างๆ ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
- ลูกอม HALLS นำเข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2503 โดยเริ่มก่อตั้งโรงงานและผลิตเองในไทยตั้งแต่ปี 2508 โดยบริษัท อดัมส์ (ประเทศไทย) ปัจจุบันดำเนินธุรกิจภายใต้การดูแลของบริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด
- ในการทำตลาดช่วงแรก HALLS วางจำหน่ายอยู่แค่เฉพาะในร้านขายยาเท่านั้น เป็นลูกอมเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอต่อมาด้วยสภาพอากาศที่ร้อนของบ้านเรา จึงได้เปลี่ยนกลยุทธ์ขายความสดชื่น และวางจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป และห้างสรรพสินค้า มีการเพิ่มรสชาติสำหรับคนแต่ละวัย ทำให้ขยายฐานลูกค้าออกไปในวงกว้างมากขึ้น
- ปัจจุบันมีการออกแบบผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่มากมาย รวมถึงการ Collab ทางธุรกิจกับแบรนด์ดังเพื่อสร้างโอกาสการเติบโต เช่น การจับมือแบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานระดับโลกอย่าง Red Bull เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘Halls XS Red Bull’ และสร้างโลโก้ใหม่ที่เรียกว่า ‘H icon’ ขึ้นมา มีนัยหมายถึงการหายใจเข้าขึ้นข้างบน - หายใจออกลงข้างล่างเหมือนรูปตัว ‘H’
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smethailandclub.com/entrepreneur/6570.html
เฮลซ์บลูบอย แบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดน้ำหวานไทย
อายุธุรกิจ 63 ปี
ก่อตั้งปี 2502
กลยุทธ์ธุรกิจ
- มองหาโอกาสจากช่องว่างในตลาด
- ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ดิ้ง
- เลือกทำในสิ่งที่ถนัด ขายสินค้าน้อยชิ้น แต่เน้นคุณภาพ
รายได้ : ในปี 2563 บริษัทสามารถทำรายได้ 3,320 ล้านบาท กำไร 1,057 ล้านบาท
- ก่อตั้งเมื่อปี 2502 จากพี่น้อง 4 คนแห่งตระกูลพัฒนะเอนก เริ่มต้นประกอบกิจการเป็นร้านโชห่วยมาก่อน ภายหลังเริ่มมองเห็นโอกาสในธุรกิจน้ำหวาน ซึ่งในขณะนั้นถือว่ามีอยู่น้อยมากในตลาดเมืองไทย จึงได้ลองคิดค้นสูตรน้ำหวานของตัวเองขึ้นมาเอง ดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง(ประเทศไทย) จำกัด
- เป็นแบรนด์น้ำหวานของไทยที่ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และเครื่องหมายการค้าทางตลาด โดยมีการวาดโลโก้เป็นรูปเด็กผู้ชายใส่หมวก แถมฟอนต์ตัวอักษรชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษที่แกะจากบล็อกไม้ จึงทำให้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
-แม้จะมีคู่แข่งเครื่องดื่มน้ำหวานรสชาติต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่เฮลซ์บลูบอยได้เลือกวางตัวเองอยู่ในตลาดน้ำหวานเข้มข้น เป็นสารตั้งต้นวัตถุดิบเพื่อให้ความหวาน ไม่ใช่เครื่องดื่มสำเร็จรูปทั่วไป ซึ่งถือเป็นตลาดที่เล็กเมื่อเทียบกับตลาดเครื่องดื่มทั่วไป ไม่ค่อยมีผู้เล่นรายใหญ่ลงมาเล่น จึงทำให้เฮลซ์บลูบอยครองแชมป์เจ้าตลาดแต่เพียงผู้เดียว
- และแม้จะดำเนินธุรกิจมาเกินครึ่งศตวรรษ แต่บริษัทกลับมีสินค้าจำหน่ายป้อนให้กับตลาดเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ น้ำหวาน และน้ำตาลก้อน แต่ด้วยการรักษาคุณภาพจึงสามารถสร้างยอดขายได้ปีละหลายพันล้านบาท
- โดยยังเลือกใช้บรรจุภัณฑ์เป็นขวดแก้วเหมือนเช่นเดิม เพื่อเก็บรักษาคุณภาพของน้ำตาลหรือความหวานให้คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นขวดพลาสติกจะอยู่ได้เพียง 1 ปี แต่หากเป็นขวดแก้วจะสามารถเก็บรักษาได้นาน 2 – 5 ปีทีเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าแม้จะมีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นเล็กน้อย แต่ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์เอง จึงทำให้ผู้บริโภคยินดีที่จะยอมจ่ายมากกว่า
-ปัจจุบันมีทั้งหมดถึง 9 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ สละ ครีมโซดา มะลิ สตรอว์เบอร์รี่ สับปะรด องุ่น แคนตาลูป ซาสี่ และกุหลาบ โดยรสชาติคลาสสิกและนิยมกันมาก คือ สละ - ขวดสีแดง และครีมโซดา – ขวดสีเขียว
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smethailandclub.com/entrepreneur/5808.html
TEXT : กองบรรณาธิการ