Digital Marketing

การตลาดแบบ “แจกฟรี” ต้นทุนหรือโอกาส สำหรับผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้น

Text : เจษฎา ปุรินทวรกุล   




Main Idea
 
  • หลายคนอาจมองว่ากลยุทธ์การตลาดแบบแจกฟรีทำให้เสียเงินไปเปล่าๆ ดูไปแล้วไม่น่าจะได้ประโยชน์อะไรกลับมา
 
  • แต่จริงๆ แล้วกลยุทธ์นี้ จะสร้างโอกาสให้กับการเติบโตทางธุรกิจได้ระยะยาว โดยประโยชน์ว่าได้แก่
 



     สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ หากพูดถึงการให้บริการหรือแจกสินค้าฟรี หรือทดลองใช้ฟรี อาจถูกต่อต้านจากความรู้สึกภายในได้ง่ายๆ เพราะเรามักคิดว่าการทำธุรกิจ จำเป็นต้องสร้างรายได้เพื่อให้มีเงินในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน แล้วจะเอาเงินลงทุนที่ไหนไปแจกของฟรีกันอีกละ

     ส่วนหนึ่งต้องบอกว่าหากเราแจกฟรีๆ ไปแบบไม่มีการวางแผน ก็คงไม่ต่างอะไรกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ถ้าเรามีการวางแผนหรือคิดไว้อย่างเป็นระบบเรียบร้อยแล้วว่า จะได้ประโยชน์หรือเก็บข้อมูลอะไรจากการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการฟรีมาได้บ้าง ย่อมสร้างโอกาสให้กับการเติบโตทางธุรกิจได้ระยะยาวอย่างแน่นอน โดย 5 วิธีที่เราจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก็คือ


     1. เพิ่มรายชื่อกลุ่มเป้าหมาย     

         แบรนด์ B2B หลายๆ แบรนด์ มักจัดหา ebooks, ของแถมแบบ Limited Edition หรือคูปองส่วนลด เพื่อแลกกับการที่กลุ่มเป้าหมายสมัครลงทะเบียนรับข่าวสาร หรือกด Subscribe ในช่องทางต่างๆ ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยรวบรวมข้อมูล อีเมลและช่องทางการติดต่อกลุ่มเป้าหมายเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์ในแคมเปญการตลาดในอนาคตได้ โดยหน่วยงานวิจัยด้าน Content Marketing ในสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่าบริษัท B2B ร้อยละ 88 ใช้กลยุทธ์นี้เพื่อสร้างโอกาสในการขาย

     กลับมาที่การขายสินค้าอุปโภคบริโภค การขายสินค้าออนไลน์ และร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็ก ก็สามารถนำกลยุทธ์ข้างต้นมาประยุกต์ใช้ได้เหมือนกัน เช่น แจกของรางวัลเพื่อกระตุ้นให้ผู้ติดตามกด Like กด Share หรือร่วมคอมเมนต์ หรือลงทะเบียนด้วยอีเมล์เพื่อรับข่าวสาร เพื่อให้เรามีข้อมูลกลุ่มเป้าหมายและสามารถต่อยอดการตลาดที่เหมาะสมต่อไปได้ในอนาคต  


     2. ช่วยให้ทุๆ คนเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์/บริการ ของเราคืออะไร

         สินค้าหรือบริการตัวอย่างที่ให้ทดลองใช้ฟรีแทบจะเป็นกลยุทธ์ทั่วไปของทุกๆ แบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทซอฟต์แวร์ หรือบริษัทเกมส์ ที่มักจะมี Open Beta Test ที่จำกัดระยะเวลาทดลองใช้หรือจำกัดระยะเวลาเข้าเล่นเกมส์เพื่อให้ผู้ใช้งานช่วยทดสอบระบบ แอปพลิเคชัน และเซิฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งผู้ใช้งาน กลุ่มเป้าหมาย บุคคลภายนอก สื่อต่างๆ ได้เห็นว่าผลิตภัณฑ์/บริการ ของแบรนด์นั้นๆ ทำงานอย่างไร มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลขนาดไหน เหมาะกับใคร น่าสนใจอย่างไร เป็นต้น


     3. สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย

         อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ การจัดแข่งขันอะไรซักอย่างผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยที่ร้านค้า แบรนด์ หรือผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ (Influencer) จะให้กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ติดตาม กด Tag เชิญชวนเพื่อนมาร่วมกิจกรรมด้วย ซึ่งหากทำถูกวิธี ย่อมสร้างผลตอบรับที่ดีต่อแบรนด์โดยมีคนจำนวนมากเข้าถึงและรู้จักผลิตภัณฑ์/บริการของเรามากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับรายงานจาก Easypromos ซึ่งเป็นบริษัทในแคนาดาที่ทำ Quiz และ Contest ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยได้เปิดเผยว่าร้อยละ 99.3 ของผู้เข้าร่วมการแข่งขันออนไลน์ มักจะ Tag เพื่อนหรือคนรู้จักให้มาช่วยคอมเมนต์ กด Like กด Share เพื่อให้ตนเองมีโอกาสชนะสูงขึ้น

         ทั้งนี้ ผลประโยชน์ของวิธีนี้ไม่ใช่แค่การรับรู้แบรนด์ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังมีเรื่องของจำนวนผู้ติดตามที่อาจมากขึ้น ส่งผลให้การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียสูงขึ้น และสร้างโอกาสขายได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

     4. ได้รวบรวมความคิดเห็นอันมีค่า

         รู้หรือไม่ว่า ลูกค้าเก่า คือฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากๆ เพราะว่าลูกค้าเก่าหลายๆ คนจะรู้จักสินค้าหรือบริการของเราอยู่แล้ว รวมถึงมี Brand Loyalty สูง จึงมักที่จะยินดีและภูมิใจที่ได้ทดลองสินค้าใหม่ที่แบรนด์นั้นๆ แจกฟรีก่อนวางขายในตลาด เนื่องจากความเสี่ยงต่ำกว่าผลิตภัณฑ์โนเนมในท้องตลาด และหลังจากทดลองแล้ว ลูกค้าเก่ายังสามารถให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา และมีความน่าเชื่อถือให้กับเจ้าของแบรนด์ได้ด้วย

     5. ต่อยอดกับกลยุทธ์ Upselling

         เรามักจะเห็นเจ้าแห่งธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ อย่าง Amazon, Shopee, Lazada มักกำหนดการสั่งซื้อขั้นต่ำเพื่อให้ลูกค้า/ผู้ซื้อ สามารถรับโปรโมชันจัดส่งฟรีได้ ซึ่งนับเป็นวิธีที่ง่ายมาก ในการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม 1-2 รายการก่อนจะตัดสินใจชำระเงิน ตรงกับผลการศึกษาของบริษัท UPS บริษัทขนส่งชื่อดังของสหรัฐฯ ในปี 2560 ที่พบว่า 48% ของนักชอปปิงออนไลน์ จะซื้อสินค้าอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับบริการจัดส่งสินค้าฟรี

     ผลลัพธ์เดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นได้ หากแบรนด์ของเรามอบผลิตภัณฑ์ฟรี หรือบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้า/บริการ ครบตามจำนวนเงินที่กำหนด หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ คุณสามารถนำสินค้าที่มียอดขายต่ำ มาขายคู่กับของแถมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อ Boost ยอดขาย ส่วนวิธีไหนจะ Work ที่สุด คงต้องนำไปทดลองใช้ด้วยตัวเองดู
                

     ฟรีวันนี้ แต่ได้ยอดขายเพิ่มขึ้นในอนาคต พูดไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทุน เพียงแต่เราต้องวางแผนเก็บข้อมูลเพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคตเท่านั้นเอง



 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup