Digital Marketing

E Wallet อาวุธเด็ดธุรกิจที่ต้องใช้อยากได้ใจลูกค้าในอาเซียน




     เคยคิดไหมว่าแค่การชำระเงินก็มีผลต่อธุรกิจโดยเฉพาะในยุคดิจิทัล เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่ผู้คนหลีกเลี่ยงการจับสัมผัสเงินสด ทำให้การชำระเงินแบบไร้การสัมผัส (Contactless Payment) ได้รับความนิยมมากขึ้น


     แนวโน้มดังกล่าวทำให้ตลาด E-wallet ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ในอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะข้างหน้า ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าการใช้บริการชำระเงินผ่านช่องทาง E-wallet ในอาเซียนจะมีมูลค่าแตะระดับ 1.14 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 5 เท่าจากระดับปัจจุบันที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
 

     นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ผลักดันให้ตลาด E-wallet ในอาเซียนเติบโต ข้อมูลของ Hootsuite ผู้ให้บริการระบบการจัดการโซเชียลมีเดีย ระบุว่าผู้บริโภคในอาเซียนโดยเฉพาะอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ใช้เวลาอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนเฉลี่ยถึง 4.2 ชั่วโมงต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 1.2 เท่า  




     

     อีกทั้ง ประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคารจะหันมาใช้บริการ E-wallet มากขึ้น BCG Analysis ระบุว่าในปี 2562 ราว 13% ของประชากรในอาเซียนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร เลือกใช้บริการ E-wallet ในการทำธุรกรรมทางการเงิน และสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 58% ในปี 2568 เนื่องจาก E-wallet ถือเป็นช่องทางสำคัญที่จะทำให้กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่มีบัญชีธนาคารสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินด้านการชำระค่าสินค้าและบริการโอนเงิน ทั้งนี้ ปัจจุบันอาเซียนมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 18 ปีอยู่ราว 400 ล้านคน ในจำนวนนี้มีประชากรที่เข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารได้เต็มรูปแบบ (Banked) เพียง 104 ล้านคน ขณะที่มีประชากรที่มีบัญชีธนาคารแต่ยังนิยมใช้เงินสด (Underbanked) ราว 98 ล้านคน และประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคาร (Unbanked) ราว 198 ล้านคน           
         

     5 ตลาด E-wallet ที่น่าสนใจในอาเซียน           


     1. อินโดนีเซีย 


      ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ E-wallet เป็นช่องทางในการชำระค่าสินค้าออนไลน์มากเป็นอันดับ 2 รองจากการโอนเงินผ่านธนาคาร โดยบริการ E-wallet ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ GoPay ซึ่งเป็นบริการ E-wallet ของ GO-JEK แอปพลิเคชันยอดนิยมของอินโดนีเซียและให้บริการที่หลากหลาย รองลงมา ได้แก่ OVO และ DANA ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่เน้นด้านการโอนเงิน รวมทั้งใช้สำหรับจ่ายค่าสินค้าและบริการออนไลน์ ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าผู้ให้บริการ E-wallet รายใหญ่ 3 อันดับแรกของอินโดนีเซียเป็นผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) ขณะที่ผู้ให้บริการที่เป็นธนาคาร เช่น Link Aja ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซียที่อาศัยอยู่นอกกรุงจาร์กาตา และ JakOne Mobile ซึ่งเพิ่งมาได้รับความนิยมในระยะหลังจากการเป็นช่องทางการให้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐ เป็นผู้ให้บริการยอดนิยมอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ          





     2. เวียดนาม         


      ตลาด E-wallet ในเวียดนามเติบโตมากขึ้นจากการสนับสนุนของภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ประกอบกับตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตรับกระแส COVID-19 ทำให้การใช้ E-wallet ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ซึ่งผู้ใช้ E-wallet มีการใช้เฉลี่ย 1.6-2 ครั้งต่อวัน และมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 10-12 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง โดยผู้ให้บริการ E-wallet ในเวียดนามมีหลายราย แต่ที่นิยมมากที่สุดมี 3 ราย คือ Momo, Moca และ ZaloPay ซึ่งครองส่วนแบ่งในตลาดรวมกันราว 90% โดยผู้ให้บริการแต่ละรายมีจุดแข็งในการให้บริการที่แตกต่างกัน โดย Momo นิยมใช้ในการเติมเงินโทรศัพท์มือถือและการโอนเงิน ส่วน Moca นิยมใช้สำหรับจ่ายค่า Food Delivery และการใช้บริการเรียกยานพาหนะต่าง ๆ ขณะที่ ZaloPay นิยมใช้ในการโอนเงินและจ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค          





     3. กัมพูชา               


     ในปี 2562 ตลาด E-wallet ในกัมพูชามีผู้ใช้บริการ 5.22 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 64% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ในระยะข้างหน้าตลาดจะได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากกฎหมายอีคอมเมิร์ซที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันกัมพูชามีผู้ให้บริการรายสำคัญ ได้แก่ TrueMoney, Ly Hour Pay Pro, Pi Pay และ Pay&Go
 


     4. สปป.ลาว       
 

     ปัจจุบันการใช้บริการ E-wallet ใน สปป.ลาว เริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยมีผู้ให้บริการรายสำคัญ ได้แก่ BCEL One Pay และ Kiwipay รวมถึง QR Kbank ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นแอปพลิเคชัน E-wallet ที่ไม่ต้องผูกกับบัญชีธนาคาร           
 




     5. เมียนมา  
 

     การใช้ E-wallet ยังไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากตลาดอีคอมเมิร์ซของเมียนมายังมีขนาดค่อนข้างเล็ก สังเกตได้จากมีจำนวนผู้ซื้อสินค้าออนไลน์เพียง 1.8 แสนคนในปี 2562 เทียบกับจำนวนประชากรราว 54 ล้านคน แต่ก็ถือเป็นตลาดที่น่าจับตามอง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีบัญชีธนาคาร ซึ่ง E-wallet จะสามารถเข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคตได้ สำหรับผู้ให้บริการ E-wallet รายสำคัญในเมียนมา ได้แก่ Wave Money, OK Dollar และ TrueMoney
 
     ความนิยมใช้ E-wallet ในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคคุ้นชินกับการใช้จ่ายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งเป็นโอกาสให้ต่อยอดสู่บริการทางการเงินที่ครบวงจรได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง E-payment ที่น่าจะเติบโตได้ดีตามกระแส Contactless รวมถึง E-lending โดยการใช้ข้อมูลจำนวนมากในระบบออนไลน์ (Big Data) มาวิเคราะห์เพื่อหารูปแบบการใช้จ่ายและศักยภาพทางการเงินเป็นรายบุคคล หรือแม้กระทั่งการระดมทุนผ่าน Crowdfunding ซึ่งลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวจะทำให้อุปสรรคของการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนที่ภาคธุรกิจในหลาย ๆ ประเทศต้องเผชิญอยู่ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นโอกาสใหม่สำหรับภาคธุรกิจในประเทศเหล่านั้น
 

Cr: Exim


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup