Starting a Business

เปลี่ยนแพสชันศิลปะให้เป็นแบรนด์! Plaifah postcard ร้านสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่สร้างรายได้6หลักต่อเดือน

 

Text : Yuwadi.s

     เมื่อศิลปะอยู่ในชีวิตมาตั้งแต่วัยเด็ก โตขึ้นเธอจึงเดินตามความฝันที่อยากเป็นศิลปิน จนในที่สุดความฝันนั้นก็กลายเป็นจริงแถมยังสามารถเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ถึง 6 หลักต่อเดือนกับ ปลายฟ้า วงศ์อมรจักร ผู้ก่อตั้งร้านสารพัดของกุ๊กกิ๊ก Plaifah postcard ที่หยิบเอาลายเส้นสุดยูนีคมาสร้างสรรค์เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่จะทำให้การใช้ชีวิตของลูกค้ามีสีสันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เธอยังมีแพสชันในการวาดรูปลงแคนวาสและเปิดขายอีกด้วย

จากโปรเจกต์ตอนเรียนมหาลัยสู่ธุรกิจหลังเรียนจบ

     ปลายฟ้าเล่าว่าเธอเป็นคนที่ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก โดยเธอรายล้อมไปด้วยคนในครอบครัวที่ชอบการวาดรูปเช่นกัน เธอจึงเติบโตมากับสิ่งที่เรียกว่าศิลปะ

     “ที่บ้านเราพ่อก็เรียนวาดรูป แม่ก็เรียนวาดรูป ที่บ้านพี่น้องสามคน ทุกคนชอบวาดรูปหมดเลย เราโตมากับการมีดินสอ ปากกา สามารถวาดรูปได้ตลอดเวลา ตอนเด็กๆ เรียนหนังสือก็ชอบวาดรูป เราวาดรูปตั้งแต่เด็กจนโต รู้แต่เด็กว่านี่คือความสามารถพิเศษเดียวที่เราทำได้และเราก็จะทำไปเรื่อยๆ”

     โดยจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนงานศิลปะให้เป็นอาชีพ เธอเล่าย้อนไปสมัยที่เรียนมหาลัยปี 3 มีวิชาที่ให้คิดสินค้าขึ้นมาขายในคลาส เป็นจุดเริ่มที่เธอทำโปสการ์ดขายและหยิบมาสานต่อให้กลายเป็นธุรกิจจริงจังหลังเรียนจบ

     “ช่วงเรียนมหาลัยตอนปี 3 จะมีวิชาที่อาจารย์ให้เราคิดสินค้าเอง ขายเองในคลาส ช่วงนั้นเราคิดว่างั้นทำโปสการ์ดแล้วกัน อาจารย์ก็แนะนำให้เอาธุรกิจที่บ้านมารวมกับงานด้วยจะได้มีการต่อยอด ที่เราบ้านเราทำเกี่ยวกับผ้าประดับยนต์ มันจะมีพวกปักๆ เราเลยสนใจแผ่นรีดปักลาย เอามารวมกับสินค้าที่ร้าน เป็นโปสการ์ดรูปแจกันและมีตัวรีดรูปดอกไม้ให้คนเอาดอกไม้ที่เป็นตัวรีดมาติดบนกระดาษโปสการ์ด พอเรียนจบ เราก็มีความตั้งใจอยากเป็นศิลปิน เราเลยพยายามลองสักตั้ง ไม่สมัครงาน เราหยิบวิชาที่เรียนตอนปี 3 มาต่อยอดและเราก็ทำมาเรื่อยๆ จนขยายมาเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์มากขึ้นในปัจจุบัน”

     สำหรับจุดที่ทำให้เธอเปลี่ยนจากการทำโปสการ์ดขายอย่างเดียวมาเป็นการทำสินค้าไลฟ์สไตล์นั่นคือการรับฟีดแบคจากลูกค้า รวมถึงการมีลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

     “ช่วงแรกๆ มีช่วงที่เรายังไม่แน่ใจว่ามันจะไปได้ไหม แม่เลยบอกงั้นลองมาทำธุรกิจที่บ้านด้วยไหม ทำพร้อมกัน แต่เราลองแล้วยังรู้สึกไม่ใช่ทางเท่าไหร่ จนถึงช่วงโควิด ตอนนั้นอินฟูล ยูทูปเบอร์เปิดรับของรีวิวให้ฟรี เราเลยลองส่งไปแล้วกระแสตอบรับดีมาก เลยเป็นที่รู้จักมากขึ้น เราเลยเริ่มมั่นใจและเริ่มมีแบรนด์อื่นๆ เข้ามาจ้างงาน เหมือนเป็นการคอลแลป เราเลยเริ่มเฟดจากงานของที่บ้านมาทำงานเราเต็มตัวทีละนิด ส่วนการเปลี่ยนจากโปสการ์ดมาทำสินค้าอื่นๆ มันมีจุดที่เรามองว่าโปสการ์ดอย่างเดียว ลูกค้าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เขาอยากสนับสนุนภาพวาดเราแต่โปสการ์ดก็ได้แค่เก็บไว้ ช่วงนั้นมีโรงงานติดต่อเข้ามา รับผลิตสติกเกอร์อะไรแบบนี้ เราเริ่มจากสติกเกอร์ก่อน พอมาสติกเกอร์ ลูกค้าก็ฟีดแบคว่าอยากให้ทำกระเป๋า ของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ เราก็เพิ่มมาเรื่อยๆ”

ปั้นแบรนด์ด้วยคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์

     ด้านจุดเด่นของสินค้าในร้าน Plaifah postcard อยู่ที่ลายเส้นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีการอัพเดตเทรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อปรับปรุงสินค้าให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

     “ลายเส้นของเราจะเป็นแฮนด์เพนต์ทุกอันเลย เราจะใช้เป็นสีอะคลิลิก เอาไปสแกนลงคอมพ์ แล้วก็จัดเรียงไฟล์ทำเป็นสินค้า เราก็เอาลายเส้นที่เราวาดน่ารักๆ มาใส่เป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ลูกค้าจะได้เห็นของใช้ที่มันน่ารัก ใช้แล้วมีแรงทำงาน สินค้าตอนนี้ก็มีสติกเกอร์ เราเพิ่มกิมมิกเข้าไปด้วยการทำสติกเกอร์ติดสินค้าเฉพาะ เช่น สติกเกอร์ติดหัวชาร์จโทรศัพท์ หรือสติกเกอร์พรบ.หน้ารถ เราพยายามอัพเดตเทคโนโลยีเพื่อเอาข้อเสียของสินค้าเก่ามาอัพเดตให้มันดีขึ้น”

     ส่วนวิธีการทำการตลาดในแบบฉบับของ Plaifah postcard จะอยู่ที่การทำคอนเทนต์เชิงไลฟ์สไตล์เพื่อสร้าง Community เล็กๆ ให้กับกลุ่มคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน ไม่ใช่การทำคอนเทนต์เพื่อขายสินค้าอย่างเดียว

     “เราพยายามเอาตัวเราไปอยู่ในที่ที่ลูกค้าเห็น โซเชียลคือช่องทางหนึ่ง เราพยายามลงคลิปว่าสามารถใช้สินค้าเราได้ในชีวิตประจำวันยังไงบ้าง ไม่ได้อยากเน้นเป็นร้านขายของขนาดนั้น เราอยากให้มันเป็นไลฟ์สไตล์ด้วย เอาตัวเราออกมาให้ทุกคนในช่องเห็น รีวิวความชอบอื่นๆ รีวิวของร้านอื่นๆ เราคิดว่าลูกค้าก็น่าจะชอบอะไรเหมือนกันกับเรา เราจะไม่รีวิวแต่ของเรา ทำให้เกิดเป็น Community เล็กๆ ที่คนชอบอะไรเหมือนกันมาคุยกันมาแชร์กัน ส่วนคอนเทนต์ที่คนชอบก็จะมีคอนเทนต์ที่เล่าเบื้องหลัง คนชอบฟัง กว่าจะมาเป็นสินค้านี้ กว่าจะมาเป็นภาพนี้ วาดจากไอเดียอะไร สตอรี่เป็นยังไง”

     ปลายฟ้าได้ปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจนี้ให้ฟังว่าเธอให้เน้นไปที่ 2 สิ่ง นั่นคือความจริงใจกับลูกค้า รวมไปถึงความใส่ใจในการทำธุรกิจ

     “2 อย่างคือความจริงใจและความใส่ใจ ความจริงใจคือเวลาที่สินค้ามีปัญหาหรือลูกค้าติดขัดอะไร เราจะแจ้งด้วยความจริงใจว่าเกิดอะไรขึ้น เสนอทางเลือกให้ลูกค้าอยากได้การแก้ปัญหาแบบไหน ส่วนความใส่ใจทั้งตัวสินค้าและบริการ ด้านสินค้าเราก็พยายามทดลองใช้ก่อน ดูวัสดุ คุณภาพให้เหมาะสมกับราคา การบริการเราคิดว่ายุคนี้ทุนจีนเยอะ ทั้งราคาถูกด้วย ของก็อาจจะดีด้วย แต่ของจีนอาจจะไม่ได้บริการดีเท่าสิ่งที่เราสร้างมาเอง เราพยายามทำให้ลูกค้าพอใจในสินค้าและบริการของเราให้มากที่สุด”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup