Tech Startup

ทำไม Creative Ventures เลือกลงทุนใน Deep Tech





 

     แชมป์-ปุณยธร สุทธิพงษ์ชัย ผู้จัดการหุ้นส่วน บริษัท Creative Ventures เป็นคนไทยคนแรกที่เป็นผู้ก่อตั้ง VC (Venture Capital) ในซิลิคอนวัลเลย์ โดยมีเป้าหมายที่จะลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง Deep Tech ในซิลิคอนวัลเลย์ เพื่อแก้ปัญหาแนวโน้มสำคัญของโลก 3 ด้าน คือ การขาดแคลนแรงงาน ภาวะโลกร้อน และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
   
     เมื่อปี พ.ศ.2559 Creative Ventures ระดมทุนตั้งกองทุนแรก 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกองทุนนี้ลงทุนใน Startup ที่ซิลิคอนวัลเลย์ ไปแล้ว 11 บริษัท และกำลังจัดตั้งกองทุนที่ 2 จากผู้สนใจมาร่วมลงทุน    

     “เราเป็นกองทุนที่ช่วยคนหาไอเดียแล้วนำไอเดียกลับมาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือจะลงทุนใน Startup ที่ซิลิคอนวัลเลย์ที่เป็น Deep Tech เทคโนโลยีที่ล้ำกว่าที่หาได้ทั่วไป แล้วช่วยเขามาเปิดตลาดที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหนึ่งคือช่วย Startup ในการเปิดตลาดในภูมิภาคนี้ ขณะที่อีกส่วนก็ช่วยให้นักลงทุนในภูมิภาคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจจะหาลำบากได้” แชมป์บอกถึงเป้าหมายของ Creative Ventures ซึ่งเขามองว่า เมื่อซิลิคอนวัลเลย์เป็นศูนย์รวมของ Startup ที่ดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น AI- Artificial Intelligence, คอมพิวเตอร์ วิชัน, เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ขั้นสูง และชีววิทยาสังเคราะห์ ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีความต้องการเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน Creative Ventures จึงเป็นเหมือนการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างซิลิคอนวัลเลย์กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง

     แล้วทำไมต้องตั้งเป้าหมายที่จะลงทุนใน Deep Tech เท่านั้น?

     แชมป์บอกเหตุผลว่า ด้วยแนวโน้มปัญหาสำคัญของโลก ที่เป็น Real Sector ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม รวมถึงด้านสุขภาพ ยากที่จะแก้ไขได้ด้วย Mobile เพียงอย่างเดียว  

     “จะเห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เทคโนโลยีจะเป็น Mobile เป็นหลัก คนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 600 ล้านคน มีสมาร์ทโฟนจำนวนมากก็จริง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นใน Real Sector ไม่มีใครมาแก้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน ปัญหาโลกร้อน ปัญหาผู้สูงอายุ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง Deep Tech ไม่ว่าจะเป็นพวก AI หรือ Bio-Tech เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ขั้นสูง จะมาแก้ปัญหาเหล่านั้นได้”

     ด้วยเหตุนี้ Creative Ventures จึงเลือกที่จะลงทุนใน Startup ที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ในปัญหาเป็น Mega Trend ของโลก อันได้แก่ ธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรม เช่น ก่อสร้างและการผลิตที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และการเกษตร ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

     ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Creative Ventures ลงทุนไปแล้ว 11 บริษัท โดยแชมป์ยกตัวอย่าง Startup ที่ประสบความสำเร็จในการเข้าลงทุน เช่น บริษัท Dishcraft ซึ่งเป็น Startup ที่สร้างนวัตกรรมหุ่นยนต์ที่ปฏิบัติงานในห้องครัว ซึ่งจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในธุรกิจบริการด้านโรงแรม ภัตตาคาร และธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ ยังได้เข้าลงทุนใน ALICE Technologies ซึ่งเป็นการสร้างระบบ AI ซอฟต์แวร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดการการก่อสร้างในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดเวลาในการก่อสร้างลงได้ โดย Creative Ventures ได้นำเทคโนโลยีของ ALICE มาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการร่วมมือกับบริษัทอนันดา ดีเวลล้อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยอีกด้วย

     อย่างไรก็ตาม แชมป์ยอมรับว่า การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้น ไม่ใช่ว่าทุกการลงทุนของเขาจะประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่เมื่อมีความเสี่ยงมาก ผลตอบแทนที่ได้กลับมาก็มากกว่า
 
     “ช่วงแรกเหมือนเรากำลังค้นหาตัวเอง จากที่ลงทุนไปแล้ว 11 บริษัท บอกได้เลยว่า 3 ตัวแรกที่เราลงทุนนั้นแป้ก คือยังไม่ตายแต่ก็ยังไม่โต เพราะมันเหมือนการทดลองด้วย แต่ 8 บริษัทหลังไม่มีตัวไหนแป้กเลย โดยเฉพาะบริษัท Dishcraft นี่คิดว่าน่าจะคุ้มที่สุด ซึ่งจริงๆ ที่เราลงทุนไป 11 บริษัท สำเร็จแค่ 1 หรือ 2 เราก็โอเคแล้ว”

     สำหรับกองทุนที่ 2 มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ฯ ที่ปิดการระดมทุนในต้นปีนี้นั้น แชมป์วางแผนที่จะนำมาลงทุนควบคู่กับกองทุนที่ 1 โดยวางเป้าหมายที่จะลงทุนปีละ 4-6 บริษัท และเลือกลงทุนใน Early-Stage

     “ที่อเมริกาการลงทุนในรอบ Seed Round จะเท่ากับในระดับ Series A เมืองไทย ส่วนใหญ่เราลง Seed Round กับ Series A เรียกว่าอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้น (Early-Stage) เหตุผลที่เลือกลงในช่วงนี้ก็เพราะว่าเราสามารถเข้าไปแล้วช่วย Startup ได้ ซึ่งเขาจะมีโปรดักต์ มีลูกค้าแล้ว ฉะนั้นเทคโนโลยีจะถูกปรู๊ฟมาแล้วในระดับหนึ่งแล้ว เรารู้แล้วว่าเวิร์กหรือไม่เวิร์ก ถ้าเราสามารถเข้ามาในช่วงนี้แล้วช่วยเขาเปิดดีลกับบริษัทใหญ่ๆ ได้มันจะเป็นก้าวกระโดดสำหรับเขาเลย ถึงแม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะไม่ใช่ตลาดที่ใหญ่มาก แต่ถ้าเรามาช่วยเขาในระยะแรกก็จะทำให้เขาเติบโตขึ้นไปได้ แล้วพอเขาเติบโตไปถึงจุดหนึ่ง เข้าใจตลาดภูมิภาคนี้ระดับหนึ่ง การที่จะไปต่อก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย” แชมป์กล่าวในตอนท้าย
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี