Starting a Business

EVERYTHING EST OK เสื้อผ้าของสาว Seasonless ไม่ต้องตามเทรนด์ ก็ขายได้





 
 
     เวลานี้เสื้อผ้าสไตล์ Seasonless ที่ไม่ตามเทรนด์ ไม่อิงฤดูกาลกำลังเป็นที่นิยมของสาวๆ ผู้ชอบสวมใส่เสื้อผ้าดีไซน์เรียบ แต่ดูดี มีสไตล์ ซึ่ง EVERYTHING EST OK เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้า Seasonless ที่สาวๆ เทใจให้ด้วยมีจุดเด่นที่ดีไซน์เรียบง่าย ตัดเย็บประณีต และตัดจากผ้าทอฝีมือชาวเมืองใหม่

     กระตั้ว-นันทพัทธ์ พนิตวรนันท์ เจ้าของแบรนด์เล่าถึงจุดเริ่มต้นการก้าวมาเป็นผู้ประกอบการให้ฟังว่า เธอเคยเปิดร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นซึ่งขายดีทีเดียว แต่หลังจากทำธุรกิจแบบซื้อมาขายไปได้สักระยะเริ่มมีความคิดอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง โดยเสื้อผ้าที่ทำออกมาขายในช่วงแรกมีเพียง 1-2 แบบ เนื่องจากเป็นแบรนด์น้องใหม่ไม่มีใครรู้จัก เธอจึงไม่กล้าเสี่ยงมากนักเพราะกลัวเจ็บตัวหากแบรนด์ไม่ประสบความสำเร็จ แต่หลังจากวางขาย ผลตอบรับที่ได้ถือว่าเกินคาด เธอจึงเริ่มทำเป็นคอลเลกชันออกมาในคอนเซปต์เสื้อผ้าสไตล์ Seasonless ดีไซน์เรียบง่าย โคร่งๆ หลวมๆ สวมใส่ได้ทุกวัน และเสื้อผ้าทุกตัวตัดจากผ้าที่ทอโดยชาวเชียงใหม่



             
      “ตอนนี้ EVERYTHING EST OK มี 4 คอลเลกชัน โดยคอลเลกชันแรกเน้นเสื้อผ้าลุคแคชชวลกึ่งทางการ แมตช์ได้ง่ายกับเสื้อคลุมหรือสูทจึงใส่ไปทำงานได้ และใช้ผ้าลินินเป็นหลักเพราะใส่สบายและดูดีแม้ผ้าจะยับ คอลเลกชันที่สองให้ลุคเป็นทางการมากขึ้น มีสีสันเยอะขึ้น และเริ่มนำผ้าอื่นๆ มาใช้ผสมกับผ้าลินิน คอลเลกชันที่สามเริ่มนำผ้าฝ้ายมาใช้ เพราะเนื้อผ้าดีไม่แพ้ผ้าลินิน และได้ย้อมสีผ้าเป็นสีต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากกว่าแค่ผ้าฝ้ายสีคราม ส่วนคอลเลกชันสุดท้ายเป็นการหยิบแพตเทิร์นเสื้อผ้าจากทั้ง 3 คอลเลกชันมาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกใจลูกค้ามากขึ้น เช่น กางเกงเอวสูงที่ทำให้ดู Oversize กว่าเดิม ขาเต่อ และเอวสูงขึ้น เสื้อสายเดี่ยวที่เพิ่มระบายและมีสีให้เลือกเยอะขึ้น และกระโปรงระบายที่นำมาต่อยอดเป็นเดรส”

     นอกจากคอลเลกชันหลัก EVERYTHING EST OK ยังมีคอลเลกชันพิเศษอย่าง Classic Collection ที่รวมเสื้อผ้าขายดีของแต่ละคอลเลกชันไว้ด้วยกัน เช่น เสื้อสายเดี่ยวลายสก็อตจากคอลเลกชันแรก และกระโปรงระบายจากคอลเลกชันที่สาม สำหรับเหตุผลของการทำคอลเลกชันพิเศษก็เพื่อรักษาสภาพคล่องของแบรนด์ เพราะเสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้มีขายทั้งปี แบรนด์จึงมีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอด





     “แม้เสื้อผ้าของเราจะไม่ตามแฟชั่น แต่หลายคนก็ยังไม่กล้าใส่ด้วยเหตุผลว่า กลัวใส่แล้วอ้วน เพราะเป็นเสื้อผ้า Oversize ดังนั้น จึงต้องสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจว่า เสื้อผ้า Oversize แค่ 1-2 ไซส์จะไม่ทำให้ดูอ้วน แต่ทำให้ใส่สบาย ได้ลุคเท่มากกว่า อีกทั้งต้องทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้าของเราด้วยการให้คำแนะนำ เช่น การใส่กางเกงทรงกระบอกใหญ่ให้ดูสูง คือ ใส่กางเกงเอวสูง และถ้าอยากได้ลุคสบายๆ แต่มีสไตล์ให้แมตช์กับเสื้อยืดหรือเสื้อสายเดี่ยว”

     กระตั้วใส่ใจทั้งในเรื่องของดีไซน์เสื้อผ้า คุณภาพผ้า ขั้นตอนการตัดเย็บ การให้บริการลูกค้า ตลอดทั้งการออกบู๊ธ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่แบรนด์ออนไลน์ละเลยไม่ได้ เพราะการออกบู๊ธเปรียบเหมือนการพาแบรนด์ออกไปทำความรู้จักกับกลุ่มลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้เห็นได้สัมผัสกับสินค้าซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก แต่ทั้งนี้ใช่ว่าจะออกบู๊ธงานใดก็ได้ หากอยากได้กลุ่มลูกค้าตรงตามความต้องการต้องเลือกงานที่มีกลุ่มลูกค้าของแบรนด์เดินและเป็นงานที่เข้ากับตัวตนแบรนด์




     “แบรนด์ของเราไม่ใช่แบรนด์แฟชั่นและกลุ่มลูกค้า คือ สาวๆ วัยทำงานไปจนถึงกลุ่มคนมีอายุ งานที่ไปออกบู๊ธจึงไม่ใช่งานขายสินค้าแฟชั่น แต่เป็นงานที่เกี่ยวกับงานแฮนด์เมด งานคราฟต์ เช่น งาน Slow Fest ซึ่งเป็นงานแจ้งเกิดแบรนด์เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากไปออกบู๊ธในงานนี้ก็มีลูกค้าตามมาสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เยอะพอสมควร ส่วนอีกงานที่ตรงกับตัวตนของแบรนด์มาก คือ งาน Little Tree กลุ่มคนที่มาเดินงานนี้จะเป็นครอบครัวและคนมีอายุ ซึ่งเราค่อนข้างโอเคกับการที่ลูกค้าเป็นคุณป้า เพราะคนกลุ่มนี้ซื้อสินค้าด้วยความชอบจริงๆ ไม่ใช่ซื้อเพราะเห็นเน็ตไอดอลใส่ นอกจากนี้ การฝากขายตามร้านมัลติแบรนด์ก็ให้ผลลัพธ์ดีไม่แพ้กัน เพราะเป็นเหมือนการนำสินค้าออกไปให้ลูกค้าได้ลองสวมใส่ ลูกค้าบางส่วนไปลองเสื้อผ้าที่ร้านแล้วกลับมาสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะพวกเขาอยากพูดคุย อยากได้คำแนะนำจากเรา”

     Facebook : Everythingestok
     Instagram : Everythingestok
     Line : @everythingestok
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี