เบื่อหน่าย Burnout รู้ซึ้งถึงความตาย เป็นทุกข์ โดดเดี่ยว ความรู้สึกเหล่านี้ชัดเจนขึ้นเมื่อ COVID-19 มาเยือนทุกคนบนโลกใบนี้ นอกจากปัญหาด้านสุขภาพที่กระทบกับชีวิตประจำวันแล้ว ปัญหาด้านจิตใจก็ถาโถมเข้าใส่ไม่แพ้กัน ด้วยเหตุนี้ทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนลุกขึ้นมาใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงจนเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่า “YOLO Economy” ยุคที่คนรุ่นใหม่กล้าที่ออกตามล่าความฝันของตัวเอง โดยไม่กลัวที่อยู่ใน Comfort Zone อันแสนสบายอีกต่อไป

 

 

การเกิดขึ้นของ YOLO Economy

     ปฏิเสธไม่ได้ว่า COVID-19 คือตัวกระตุ้นอันแรงกล้าที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตบเท้าก้าวออกจากงานประจำ โดยมีผลสำรวจจาก Microsoft ว่าพนักงานทั่วโลกกว่า 41% มีการพิจารณาถึงการลาออกจากงานในปี 2565 ซึ่งก่อนหน้านี้คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการ Burnout ค่อนข้างสูง และยิ่งเจอกับผลกระทบจากโควิดมาซ้ำ ทำให้พวกเขาหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการทำงานประจำ วิ่งวนอยู่ในลูปเดิมๆ เหน็ดเหนื่อยจากการแข่งขันในหน้าที่การงาน หลายคนอยากหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่ไปสู่หนทางใหม่ๆ แบบไม่กลัวอะไรอีกต่อไป เพราะโควิดสอนให้เขาตระหนักรู้ว่าความตายนั้นใกล้ตัวมากแค่ไหน นี่จึงเป็นจุดเริ่นต้นของ YOLO Economy ที่คนรุ่นใหม่กล้าออกจากงานเพื่อค้นหาชีวิตที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง

     โดยคนส่วนใหญ่มักจะละทิ้งงานประจำที่ทำอยู่และเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองโดยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ว่าอยากประสบความสำเร็จ พวกเขาเริ่มยอมรับแนวคิด YOLO (You only live once) ว่าทุกคนมีชีวิตแค่ครั้งเดียว เกิดมาครั้งเดียว การจมอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบไปตลอดอาจจะไม่ใช่หนทางของคนยุคนี้อีกต่อไป บางคนจึงเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ว่าจะเสี่ยงแค่ไหน หรืออาจจะเปลี่ยนงานอดิเรกที่ชอบให้กลายเป็นงานที่ใช่

 

 

5 เหตุผลว่าทำไม YOLO Economy จึงมาแรง

1.คนรุ่นใหม่อยากกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง

             หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ YOLO Economy กำลังอยู่ในกระแส ณ ปัจจุบัน เป็นเพราะพวกเขามองเห็นความเหน็ดเหนื่อยของคนรุ่นก่อนที่ทำงานอย่างหนัก อุทิศตัวเพื่อการทำงานเดิมๆ เป็น 10 ปีแต่กลับไม่ได้ค่าตอบแทนความเหนื่อยตามที่คาดหวัง พอมาถึงตอนนี้ที่เป็นยุคทองของเขา ทำให้คนรุ่นใหม่อยากกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง เขาอยากเปลี่ยนอนาคตตัวเอง ทำให้บางคนจึงหันหัวเรือไปลองทำธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการเพราะอยากควบคุมทุกอย่างได้โดยไม่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของใคร